วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Sweet Look สวยหวานในวันพิเศษ

ขั้นตอนสู่ความสวย

หน้า : เริ่มต้นการแต่งหน้าด้วยการเพิ่มความชุ่มชื่น พร้อมปกป้องผิวจากแสงแดดด้วยครีมบำรุงผิวหน้า จากนั้นเน้นความสวยใสบนใบหน้าด้วยรองพื้นทาบริเวณ T-zone ตามด้วยแป้งฝุ่นและแป้งพัฟเพื่อเพิ่มความนวลเนียนให้กับใบหน้า เน้นความกระจ่างใสให้กับใบหน้าด้วยไฮไลท์บางๆ ปกปิดบริเวณ T-zone แล้วตามด้วยการปัดแก้มออกเป็นสีชมพูระเรื่อให้ดูเป็นเลือดฝาด

คิ้ว : เขียนคิ้วด้วยดินสอเขียนคิ้วสีน้ำตาลจะทำให้ใบหน้าดูสว่างสดใสขึ้น

ตา : เพิ่มความสวยให้กับเปลือกตาด้วยอายแชโดว์ และเน้นความเข้มของขอบตาให้ดูโดดเด่นด้วยดินสอเขียนขอบตา จากนั้นดัดขนตาให้งอนงามแล้วปัดด้วยมาสคาร่า

ปาก : เพิ่มสีสันให้กับริมฝีปากให้ดูอวบอิ่มน่าหลงใหลด้วยลิปสติกและตบท้ายด้วยลิปกลอสอีกนิดหน่อยเพื่อเพิ่มความแววาวให้กับริมฝีปาก

เพียงเท่านี้ ไม่ว่าจะเป็นวันสุดพิเศษสำหรับคุณ หรืออาจเป็นวันไหนๆ คุณก็สวยหงานได้ในทุกโอกาสที่คุณต้องการ อย่าลืมนำเทคนิคและวิธีการแต่งหน้าไปใช้นะคะ รับรองไม่ผิดหวังค่ะ


Tips
ชุดที่สวมใส่ ควรเป็นชุดสีสันสดใสเพื่อขับให้ใบหน้าดูสวยหวานมากยิ่งขึ้นเครื่องประดับ เช่น สร้อยคอ ต่างหู สร้อยข้อมือ ควรเลือกแบบขนาดเล็ก กะทัดรัด เพราะจะทำให้เข้ากับชุดที่สวมใส่และใบหน้าสวยหวานของคุณดูน่ารักขึ้นมากเลยค่ะ

ผม หากปล่อยสยายให้พลิ้วไปกับสายลม จะช่วยทำให้คุณดูเป็นผู้หญิงที่ดูอ่อนหวานน่าทะนุถนอมมากยิ่งขึ้นค่ะ

ที่มา : http://www.panclinic.com


วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ผู้หญิงกับริมฝีปากเป็นของคู่กัน

เป็นสัญลักษณ์บอกความมีสุขภาพกายที่ดีจากภายใน โดยที่ภายนอกเราสามารถแต่งแต้มสีสันให้ดูดี ดูเด่น สวยงามได้ด้วยลิปสติก เพราะฉะนั้นอย่าปล่อยให้ริมฝีปากแห้งลอกนะคะ ดูแล้วเหมือนคนสุขภาพไม่แข็งแรงเรามีวิธีการที่จะเอาชนะริมฝีปากแห้งให้เนียนนุ่มอยู่เสมอ และมีวิธีเลือกลิปสติกให้เหมาะกับตัวเองมาฝาก ถ้าจะสวยทั้งทีให้ครบเซตกันไปเลยว่าไหมคะ วิธีการเอาชนะริมฝีปากแห้งให้เนียนนุ่มอยู่เสมอ

1. ทาริมฝีปากด้วยลิปสติกคอนดิชั่นเนอร์ (ลิปมัน) เมื่อทาครีมบำรุงผิวหน้า ควรทาริมฝีปากด้วยนะคะ ควรดื่มน้ำที่สะอาดบริสุทธิ์ ประมาณวันละ 8-10 แก้ว เวลาที่เราขัดหน้า เราควรขัดที่ริมฝีปากด้วย แต่ควรเป็นครีมชนิดอ่อน สัปดาห์ละ 1 ครั้ง หรือใช้แปรงสีฟันที่มีขนนุ่มๆ ถูเบาๆ ค่ะ

2. เมื่อเราขจัดริมฝีปากที่แห้งลอกออกไปได้แล้ว สำหรับเพื่อนๆ ที่ริมฝีปากไม่ค่อยได้รูป เรามาลองแต่งแต้มริมฝีปาก ให้ดูอิ่มเอิบกันดีกว่าค่ะ

เรามีขั้นตอนที่สำคัญ คือ ทาคอนซีลเลอร์ รอบริมฝีปาก และใช้ดินสอเขียนขอบปาก สีเฉดเดียวกับสีของลิปสติก โดยเขียนขอบปากให้ดูสวยงามแล้วค่อยทาลิปสติกนะคะ

เทคนิคการเลือกลิปสติก หากคุณเป็นคนที่มีปัญหาเรื่องปากแตก ปากแห้งควรเลือกลิปสติกที่มีเนื้อเป็นแว๊กซ์ และควรเลือกชนิดที่มีบำรุงอยู่ในเนื้อลิปสติก ด้วยจะดีกว่า ควรเลี่ยงเนื้อลิปสติกที่มีลักษณะเป็นเนื้อแมท (Matte) หรือที่ออกเป็นแป้งมากเกินไป เพราะจะยิ่งทำให้เน้นคราบบนริมฝีปาก เลี่ยงการทาลิปกลอสหรือลิปมันก่อนทาลิปสี เพราะลิปกรอสหรือลิปมันจะทำให้ลิปสีนั้นซึมออกมาได้เร็ว

สีของลิป ควรมีความเข้มกว่าสีของสีริมฝีปากจริงเล็กน้อย หากคุณต้องการให้ดูเป็นธรรมชาติ ควรผสมสีของลิปอย่างน้อยสองสี สำหรับการทาบนริมฝีปากเพราะจะช่วยทำให้สีหน้ารู้สึกดีขึ้น สีลิปสีเข้ม ควรใช้เมื่อคุณแต่งหน้าแบบครบกระบวนการ คือ คิ้วก็ควรจะให้ดูมีความคมชัด แก้มก็ควรมีสีสัน สีเปลือกตาก็ควรมีการแต่งแบบคมชัด จึงจะเหมาะกับลิปสีเข้ม สีลิปสีอ่อน ควรใช้เมื่อคุณแต่งหน้าแบบดูบางเบา แต่ที่สำคัญควรปัดเน้นขนตาให้ดูดกดำและงอน จะดูสวยสัมพันธ์กันกับปากสีอ่อนอย่างดีทีเดียว

เลี่ยงการใช้ดินสอเขียนขอบปากสีเข้มแล้วระบายด้วยลิปสีอ่อนเพราะจะทำให้ดูเหมือนเพิ่งทานอาหารมันๆ เสร็จใหม่ๆ เหลือทิ้งไว้เพียงเส้นขอบปาก หากยังเป็นมือใหม่ควรเลี่ยงลิปสีแดงเพราะจะเป็นการบ่งบอกถึงผู้แต่งได้ว่ายังเป็นมือใหม่หัดแต่ง

วิธีการทาลิปสติกให้สีติดทนนาน เวลาเราทารองพื้นก่อนแต่งหน้าเราควรทาที่บริเวณริมฝีปากด้วยนะคะ จากนั้นก็ใช้ดินสอเขียนขอบปากสีเฉดเดียวกับลิปสติก เขียนเส้นขอบปาก แล้วจึงทาลิปสติก สีด้านให้ทั่ว ซับด้วยกระดาษทิชชู และทาลิปสติกแท่งเดิมซ้ำอีกครั้ง จากนั้นเราค่อยใช้ลิปสติกคอนดิชั่นหรือลิปมันทาทับ จะช่วยให้ริมฝีปากชุ่มชื้น สีลิปสติกทนตลอดวันค่ะ อย่าลืมนำไปประยุกต์ใช้กับตัวคุณนะคะ ขอให้เรียวปากคุณเนียนนุ่ม มีสีสันอยู่เสมอค่ะ

ที่มา : http://www.panclinic.com


วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2553

แต่งหน้าตามราศี เสริมโหงวเฮ้ง

กิจกรรม Beauty Balance ได้รับเกียรติจาก อาจารย์ทศพร ศรีตุลา มาให้คำแนะนำเรื่องเทคนิคการแต่งหน้าตามราศี เสริมโหงวเฮ้ง เพื่อให้คุณผู้อ่านที่รักการแต่งหน้าและกำลังมองว่าจะแต่งโทนสีอะไรเพื่อเสริมโหงวเฮ้งทั้งเรื่องการทำธุรกิจ ติดต่อลูกค้า หรือเข้าพบผู้ใหญ่ ลองแต่งโทนสีแบบที่อาจารย์แนะนำดูสิคะ การต่อรองหรือการทำธุรกิจครั้งนี้อาจจะประสบความสำเร็จอย่างไม่น่าเชื่อได้ มาเริ่มแต่งแต้มสีสันกันเลยค่ะ...

ราศีมังกร (14 ม.ค. - 13 ก.พ. ) ธาตุดิน

ควรใช้สีสันของธาตุไฟเสริมราศี ดวงตาใช้สีส้มน้ำตาล น้ำตาลทองแลดูมีพลัง โหนกแก้มปัดด้วยสีโทน ส้ม อิฐ สีโอลด็โรสเพิ่มเสน่ห์ด้วยริมฝีปากที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มสีส้มโอลด์โรสสีส้มนูด

ด้านคิ้ว หมายถึง อำนาจบารมีวาดให้หัวคิ้วเรียวตามธรรมชาติถึงหางคิ้ว ใช้สีน้ำตาล
เข้มปัดคิ้วควรเน้นให้ตาโตด้วยการวาดอายไลน์เนอร์สีดำโดยวาดให้เส้นใหญ่กว่าปกติเพื่อเสริมพลังอำนาจ

ราศีกุมภ์ (14 ก.พ. - 13 มี.ค.) ธาตุลม

ควรเน้นที่ริมฝีปากด้วยสีสว่างสดใสแดงอมชมพู
หรือชมพูเหลือบม่วง และชมพูประกายสดใสเสริมความมั่นใจเพื่อให้ดูโดดเด่นยิ่งขึ้นด้วยการปัดไฮไลท์บริเวณสันจมูกหน้าผาก โหนกแก้มด้านบนและคาง ส่วนตาโทนสีฟ้าหรือประกายเหลือบทองปัดแก้มด้วยสีอ่อนเช่น ชมพูอ่อนม่วงอ่อน เน้นไฮไลท์บริเวณผิวใต้ดวงตาเพื่อส่งเสริมความรัก

ราศีมีน (14 มี.ค. - 14 เม.ย.) ธาตุน้ำ

ดวงตาควรใช้สีชมพูอมม่วงอ่อน เพิ่มความอ่อนหวาน คิ้วกันให้ได้รูปรับกับใบหน้า เน้นริมฝีปากสีชมพูประกายสดใสส่งเสริมให้ผิวสุขภาพดี

ราศีเมษ (15 เม.ย. -14 พ.ค.) ธาตุไฟ

ควรเน้นการปัดมาสคาร่า ทาเปลือกตาด้วยสีเงินสีบรอนซ์เทา โหนกแก้มเอิบอิ่มด้วยสี
ธาตุไฟสว่างสีม่าง และสีส้มแดง ริมฝีปาก
มันวาวดูเป็นประกายเย้ายวนด้วยสีชมพูม่วง
หรือสัมโอลด์โรส และชมพูประกายสดใส

ราศีพฤษก (15 พ.ค. - 14 มิ.ย.) ธาตุดิน

แต่งหน้าด้วยเฉดสีเอิร์ธโทนเป็นหลัก ปัดแก้มด้วยสีน้ำตาลอ่อน น้ำตาลประกายทอง น้ำตาลอมม่วง เน้นขอบตาและเปลือกตาด้วย สีโกโก้น้ำตาลเข้ม ทรายทอง ใช้ลิปสติกโทนน้ำตาลแดง น้ำตาลอมส้มสีแดงประกายสดใส สีส้มโอลด์โรส ทำให้รอยยิ้มอบอุ่นน่าใกล้ชิด


ราศีเมถุน (15 มิ.ย. - 12 ก.ค.) ธาตุลม

ควรใช้โทนสีธรรมชาติที่ดูสดชื่นแจ่มใส เสริมความเป็นตัวเอง ดวงตาเน้นสีเขียวเข้ม ฟ้าอม-
เทา ประกายขอบตาเหลือง หรือทอง แก้มสี
ส้มอิฐ หรือชมพูสดใส ริมฝีปากเพิ่มความงาม
ด้วยสีส้มแดงและสีชมพูกลีบกุหลาบ

ราศีกรกฏ (16 ก.ค. - 16 ส.ค.) ธาตุน้ำ

การแต่งแต้มใบหน้า เน้นรอบยิ้มและดวงตาเปล่ง
ประกายสดใสด้วยสีเขียวน้ำทะเล สีม่วงอ่อน
สีเขียวพฤกษ์ไพร โหนกแก้ม สีส้มอิฐ ริมฝีปาก
สีชมพูเข้ม และชมพูสดใสดูเป็นประกาย

ราศีสิงห์ (17 ส.ค. - 15 ก.ย.) ธาตุไฟ

ให้สีเจิดจ้าเสริมพลัง ควรทาตาด้วยสีบรอนซ์เงิน
น้ำตาลทอง สีฟ้าอมม่วงและเปลือกตาประกาย
เหลืองทอง ปัดแก้ม ด้วยสีอิฐแระกายเงิน ริมฝี
ปากควรเสริมด้วยสีชมพูแดง ชมพูสดใส สีแดง
ฉ่ำเนื้อแตงโมและสีชมพูเลือบม่วง

ราศีกันย์ (16 ก.ย. - 16 ต.ค. ) ธาตุดิน

สีสันบนใบหน้าที่จะเติมพลังชีวิตนั้นคือสีชมพู-
อ่อน สีอิฐ สีส้ม พวง แก้มน้ำตาลอ่อนหรือ
น้ำตาลประกายทอง เปลือกตาใช้สีชมพู
เหลือบม่วงน้ำตาล ส่วนริมฝีปากแต่งด้วย
สีโอลด์โรส

ราศีตุลย์ (17 ต.ค. - 15 พ.ย.) ธาตุลม

การแต่งแต้มใบหน้าเน้นความสมดุลของ
ธรรมชาติ ดวงตาสีเขียวเข้มของพรรณไม้
สีม่วงประกายขาว สีเขียวอ่อน เพิ่มเสน่ห์
ดึงดูดใจด้วยแก้มโทนสีส้ม สีอิฐ สีโอลด์
โรสและชมพู รับกับริมฝีปากส้มแตง สีโอลด์
โรสประกาย

ราศีพิจิก (16 พ.ย. - 14 ธ.ค.) ธาตุน้ำ

ควรแต่งแต้มเปลือกตาด้วยสีม่วงเข้มฟ้าคราม
และเขียวน้ำทะเล เพิ่มพลังของแววตา ด้วย
ประกายทองและฟ้า แก้มชมพูดูมีเสน่ห์น่า
ค้นหา ริมฝีปากชมพูเข้ม

ราศีธนู (15 ธ.ค. - 13 ม.ค. ) ธาตุไฟ

ควรมีส้ม น้ำตาลทองหรือออกส้มแดงและสีอิฐ
ที่แก้ม แต่งเปลือกตาด้วยสีอบอุ่น เช่น น้ำตาล
น้ำตาลทอง เขียว ริมฝีปากธรรมชาติด้วยสีส้ม
สดหรือส้มโอลด์โรส ชมพูกลีบกุหลาบสดใส
และน้ำตาลเหลือบม่วง ควรเสริมความมันวาว
ให้ริมฝีปากแลดูเย้ายวนใจ


ศาสตร์โหงวเฮ้ง เป็นอีกทางเลือก ทางเลือกเพื่อเสริมความมั่นใจในการแต่ง หน้าให้เหมาะสมและถูกต้องตามราศี ซึ่ง โหงวเฮ้ง บนใบหน้าประกอบด้วย 2 หลัก ใหญ่ คือ
1. อวัยวะทั้ง 5 บนใบหน้า ประกิบด้วย คิ้ว ตา จมูก ปาก หู
2. เนินทั้ง 5 บนใบหน้าคือ เนินแก้มซ้าย แก้มขวา เนินคาง เนิน จมูก เนินหน้าผาก

ที่มา : http://www.panclinic.com


วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553

หนาวนี้...ระวังผื่นผิวหนังอักเสบ

ปัญหาผื่นผิวหนังอักเสบบริเวณที่มีต่อมไขมันหนาแน่น หรือบริเวณทีโซน ซึ่งเรียกว่าผื่นอักเสบบริเวณผิวมันมักเป็นเรื้อรัง พบได้ที่ใบหน้า บริเวณหัวคิ้ว สองข้างจมูก ไรผม คาง อาจพบได้ที่ทรวงอกและแผ่นหลัง รวมถึงที่บริเวณศีรษะ

ลักษณะเป็นรังแคซึ่งมีลักษณะเป็นสะเก็ดบาง ๆ ลอกเป็นขุยสีขาว มีอาการคันร่วมด้วย หากเป็นมากจะทำให้หนังศีรษะลอกเป็นขุย แสบ แดง คัน ข้างบนมีสะเก็ดขาวหรือเหลืองเป็นมันทั่วศีรษะ โรคนี้พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง พบได้ทั้งปีทุกฤดูกาล

ทั้งนี้ นพ.พรเลิศ ตรีทศเดช แพทย์ผู้มีประสบการณ์ด้านผิวพรรณจากแพนคลินิก กล่าวว่า หากมีผื่นอักเสบ บวมแดงควรปรึกษาแพทย์ หากมีรังแคควรใช้แชมพูที่มีส่วนผสมของซิลิเนียมซัลไฟด์และซิงค์ ไพริไทนอล (Selenium sulfide and Zinc pyrithione) หรือใช้แชมพูที่มีส่วนผสมของยาต้านเชื้อรา ชนิดคีโตโคนาโซน สระทุกวันหรือวันเว้นวัน การใช้แชมพูประเภทนี้ควรทิ้งไว้ 5-10 นาทีจึงล้างออก เมื่อดีขึ้นแล้วลดการใช้ลงเป็น 2 ครั้งต่อสัปดาห์สักระยะหนึ่ง

โรค นี้ป้องกันได้โดยการหลีกเลี่ยงการรบกวนผิว หลีกเลี่ยงแสงแดด ใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดเป็นประจำ ร่วมกับการทาครีมบำรุงผิว หรือรับประทานอีฟนิ่ง พริมโรส ออยล์ เพื่อช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของผิว ซึ่งมีกรดไขมันชนิดแกมม่า ไลโนเลนิก แอสิด หรือจีแอลเอ (GLA)

อย่าง ไรก็ตาม หากมีการดูแลสุขภาพที่ดี ผิวแข็งแรง หลีกเลี่ยงสิ่งรบกวนผิว ทำจิตใจให้ผ่องใส ไม่เครียด ก็จะเป็นการป้องกันการเกิดผื่นผิวหนังอักเสบบริเวณผิวมันได้อีกทางหนึ่ง

ที่มา : http://www.panclinic.com


วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ON SLEEP AND BEAUTY หลับอย่างไรให้ผิวสวย...

การพักผ่อนที่ดีที่สุดของร่างกายคือการนอนหลับ มีหลากหลายสาเหตุผลที่ทำให้คนเรานอนไม่เต็มที่ นอนดึก นอนไม่เป็นเวลา อาจมีสาเหตุมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการทุ่มอ่านหนังสือสอบ ทำการบ้าน ต้องรีบสะสางงานให้เสร็จภายในคืนนี้ ติดโทรศัพท์ ติดอินเตอร์เน็ต เที่ยวกลางคืน ตลอดจนความเครียด คุณรู้หรือไม่ว่าการนอนหลับที่ไม่ถูกวิธีส่งผลร้ายต่อผิวพรรณคุณเช่นกัน การนอนที่มีประสิทธิภาพอย่างที่ท่านเคยทราบกันคือต้อง 7-9 ชั่วโมงแต่ในระหว่างที่คุณวางลงบนเตียงนอนกันหนานุ่ม คุณเคยสังเกตหรือเปล่าคะว่าคุณชอบนอนท่าไหนเพราะท่าลักษณะที่คุณนอนส่งผลต่อการเกิดริ้วร้อยของคุณได้เช่นกัน แล้วจะทำอย่างไรให้การนอนนี้ทำให้ผิวพรรณของคุณมีสุขภาพดี มาติดตามกันดีกว่าค่ะ...

1. การเลือกท่านอน
ท่านอนที่เหมาะสมที่สุดคือการนอนหงาย เพราะการนอนหงายผิวหน้าของคุณไม่ได้กระทบโดยตรงกับหมอน การที่คุณนอนคว่ำ หรือตะแคงผิวหน้าจะกระทบกับหมอนเกิดแรงทับซึ่งทำให้เกิดริ้วรอยได้ง่าย ซึ่งผลวิจัยทางประเทศญี่ปุ่น จากการทดลองกับผู้หญิงและผู้ชายกว่า 38 ราย พบว่าริ้วรอยเกิดขึ้นในเวลากลางวันมากกว่าตอนเช้า เป็นเพราะแรงโน้มถ่วงของโลก และการนอนถือว่าเป็ฯการพักผ่อนผิวที่ดีที่สุด เพราะในเวลาที่คุณนอนผิวของคุณได้พักจากมลภาวะ แสงแดด และความเครียดต่างๆ และควรเลือกหมอนที่เหมาะสมเพื่อให้เหมาะกับลักษณะการนอนของ หมอนที่ดีมีคุณภาพถูกสร้างให้เหมาะทั้งกับทั้งหงายและนอนคว่ำ หมอนจึงเป็นปัจจัยที่สำคัญในการนอนด้วยนะคะ

2. เวลาที่เหมาะสม
พยายามที่จะได้เข้านอนในเวลาเดียวกันทุกคืน คุณเคยสังเกตหรือเปล่าคะเวลาที่คุณหลับในเวลาไหน หรือตื่นเวลาไหนมักจะเป็นแบบนี้อยู่เสมอคะเวลาที่คุณหลับในเวลาไหน หรืตื่นเวลาไหนมักจะเป็นแบบนี้อยู่เสมอค่ะ ก็เพราะร่างกายของเรามีเพราะร่างกายมนุษย์มีนาฬิกาที่เรียกว่าจังหวะวงจรชีวภาพ ที่จะทำหน้าที่ควบคุมและดูแลการใช้ชีวิตประจำวันของคุณถ้าคุณทำอะไรที่เป็นประจำสม่ำเสมอร่างกายก็มี Memory อันนี้ไว้ จนเป็นเหมือนคำสั่งให้คุณนอนหรือตื่นอัตโนมัติ การเลือกเวลานอนเวลา 22.00 น. เป็นเวลาที่เหมาะที่สุดสำหรับการนอนหลับพักผ่อน เพราะนาฬิกาชีวภาพเราเขาตั้งไว้อย่างนั้น หากคุณนอนน้อยไม่ถึงวันละ 8 ชั่วโมง ร่างกายก็จะผลิตสารเลปติน (Leptin) น้อยลง ซึ่งเลปตินมีบทบาทในการควบคุมความอยากอาหาร หากมีเลปตินมากคุณก็จะไม่โหยหาอาหาร เพราะฉะนั้นยิ่งอดนอนเลปตินก็จะมีน้อย คุณก็จะอยากทานขนมหวานและอาหารมันๆ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการลดน้ำหนัก ดังนั้นจึงควรพยายามจัดเวลานอนให้เร็วและตื่นเช้า การนอนพักผ่อนที่เพียงพอยังช่วยให้ร่างกายสามารถซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ปรับสมดุลของฮอร์โมน คุณจึงตื่นมาด้วยความสดชื่นและพร้อมจะออกกำลังกายในวันใหม่

3. รักษาความชุ่มชื้น
ความชุ่มชื้นที่นี้หมายถึงที่มาจากภายในคือการดื่มน้ำใน 1 วัน ให้ได้ในปริมาณ 6-8 แก้ว เพราะในเวลาที่คุณนอนร่างกายของคุณจะสูญเสียน้ำจากการนอนในห้องแอร์หรือลักษณะการนอนของคุณ บางครั้งคุณเคยตื่นขึ้นมาและพบว่าคอของคุณแห้งมากก็เพราะเป็นผลมาจากการที่ในแต่ละวันคุณดื่มน้ำน้อยเกินไป การเติมความชุ่มชื้นจากภายในจึงจำเป็นเช่นกันค่ะ

4. สถานที่นอน
ห้องนอนที่เงียบ ไม่มีเสียงรบกวน อากาศถ่ายเทสะดวย จะทำให้การนอนของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้น ได้พักจากความเครียดแสงแดดและสภาพแวดล้อมที่อาจทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย

5. อุณหภูมิ
อุณหภูมิร่างกายเป็นสิ่งสำคัญเมื่อคุณนอนดังนั้นการเลือกที่นอนที่เหมาะสม อากาศที่เบาสบาย โล่ง และอุณหภูมิที่ไม่ร้อนและหนาวจนเกินไป ซึ่งในขณะที่คุณหลับอุณหภูมิของร่างกายตามธรรมชาติเพิ่มขึ้นเนื่องจากเลือดไหลไปผิวหนังเพิ่มขึ้น นี้จะช่วยให้คุณเปล่งประกายเลือดฝาดดีการนอนที่พอเพียงจึงทำให้คุณสดใสค่ะ
การนอนที่ถูกสุขลักษณะและถูกวิธีทำให้คุณมีผิวที่สดใสไร้ริ้วรอยได้ ลองกลับไปทำดูนะคะ ได้ผลอย่างไรก็ส่งจดหมายหรือเมล์มาบอกกันบ้างนะคะ

TIPS ON SLEEP AND BEAUTY

Cleaning การใช้ Cleansing ให้นวดทาทิ้งไว้ 30 วินาที - 1 นาที เพื่อให้ต้วครีมละลายสิ่งสกปรก เครื่องสำอาง คราบไขมันอุดตันต่อด้วยการล้างหน้า ควรล้างหน้าให้เบาบางที่สุด ไม่ขัดถูแรงๆ เพราะจะทำให้เกิดริ้วรอยได้ง่ายๆ อย่าใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งเพราะจะมีแรงกดมาก เป็นสาเหตุของริ้วรอย ใช้เพียงนิ้วกลางและนิ้วนางโดยเริ่มหมุนนิ้วออกเป็นวงกลม เริ่มจากบริเวณคาง คลึงนวดเบาๆ ไล่ขึ้นไปตามแก้ม ไล่จากบริเวณจุดกลางไปตามลายเส้นกล้ามเนื้อออกไปทางด้านข้างไล่ขึ้นไปที่หน้าผาก เป็นการต้านแรงโน้มอาจจะเน้นบริเวณร่องจมูก เพื่อป้องกันการเกิดสิวเสี้ยนส่วยวิธีการล้างออกนั้น ให้วักน้ำขึ้นมาแปะผิวหน้า ลูบเบาๆ ห้ามถู เพราะจะทำให้เกิดริ้วรอยเช่นกัน

Night Cream เน้นซ่อมแซมเติมความสดชื่นและซ่อมแซมผิวของคุณในยามที่คุณหลับ หลังจากที่ผิวของคุณได้รับทั้งมลภาวะ แสงแดดและสภาพแวดล้อมที่ทำร้ายผิวคุณตลอดวัน ผลิตภัณฑ์ชะลอริ้วรอยและเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ในขณะที่คุณนอนหลับผิวของคุณกลับทำงานอย่างแข็งขันเพื่อฟื้นฟูสภาพของตนเอง ครีมบำรุงผิวสำหรับเวลากลางคืนที่ดีจะช่วยสนับสนุนการทำงานของผิวคุณเพื่อการฟื้นฟูสภาพของตนเองในเวลากลางคืน

Eyes Cream บริเวณรอบดวงตาของคุณเป็นส่วนที่อ่อนโยนมาก จึงควรใช้ครีมบำรุงรอบดวงตาเพื่อช่วยในการเติมความชุ่มชื้นและลดริ้วรอยรอบดวงตา เทคนิคง่ายเพียงแค่ใช้นิ้วนางเพราะนิ้วนางเป็นนิ้วที่มีแรงน้อยที่สุดจากนั้นบรรจงลงครีมบริเวณรอบดวงตา กดจุดเบาๆ เล็กน้อย ตรงรอบกระบอกตาล่าง ไล่จากหัวตาไปทางหางตา ถ้าพอจะมีเวลา แนะนำให้ใช้ eye serum ก่อน แล้วค่อยตามด้วย eye cream ค่ะ ผิวรอบดวงตาจะได้รับการบำรุงอย่างเต็มที

ที่มา : http://www.panclinic.com


วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ลดความมันบนใบหน้า ลดปัญหารูขุมขนกว้าง

"รูขุมขนกว้าง" ถือเป็นลักษณะทางผิวหนังที่พบเจอได้บ่อยค่ะ จะถือว่าเป็นปัญหาหรือไม่ใช่ก็ได้ เนื่องจากไม่ใช่โรคทางผิวหนังหรือก่อให้เกิดอันตรายกับคุณแต่อย่างใด แต่เป็นเรื่องของความสวยความงาม เมื่อไรก็ตามที่คุณมีอายุเกิน 20 ปีขึ้นไป รูขุมขนก็มีโอกาสที่จะโตมากขึ้นตามธรรมชาติ และยิ่งถ้าคุณเป็นคนผิวหน้ามันมากๆ ด้วยแล้ว โอกาสพบปัญหา “รูขุมขนกว้าง” มากขึ้น จะเกิดขึ้นเร็วและโตกว่าคนที่มีผิวธรรมดาหรือผิวแห้ง

ดังนั้น คุณควรพยายามลดความมันบนใบหน้า เพื่อลดปัญหาเกิดรูขุมขนกว้าง ป้องกันการเกิดสิวเสี้ยน โดยคุณสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้

1. เลือกผลิตภัณฑ์ล้างหน้าสำหรับผิวมัน ได้แก่ สบู่ล้างหน้า หรือโฟมล้างหน้า ที่มีส่วนผสมของสารยับยั้ง การเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย เช่น Triclosan เพื่อให้หน้าหายมัน และไม่เกิดสิว

2. ทาโลชั่นลดความมัน หรือเจลควบคุมความมัน การทายาบางชนิด เช่น ยาแก้สิว ซึ่งมีส่วนประกอบของ Resorcinol จะช่วยลดความมันบนผิวหน้าและป้องกันการเกิดสิวได้

3. ควรอยู่ในที่ๆ มีอากาศถ่ายเทสะดวก เลี่ยงอยู่บริเวณที่มีอากาศร้อนเกินไป เพื่อไม่ให้เหงื่อออกมาก ผิวจะได้ไม่มัน

ที่มา : http://www.panclinic.com


วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ส้มเขียวหวานอาจลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งตับ

"ดื่มน้ำส้มเขียวหวานทุกวัน"

คณะนักวิจัยที่สถาบันวิทยาศาสตร์ผลไม้เขตร้อนแห่งชาติของญี่ปุ่น ศึกษาชาวเมืองมิคคาบิ จังหวัดชิซูโอกะ 1,073 คน ที่ทานส้มเขียวหวานจำนวนมาก พบว่า ตัวอย่างเลือดของอาสาสมัครมีสารเคมีที่ช่วยลดการเป็นโรคตับ ภาวะหลอดเลือดแข็ง และภาวะดื้ออินซูลิน

ด้านคณะนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยแพทย์เกียวโต ศึกษากับผู้ป่วยตับอักเสบเพราะเชื้อไวรัส 75 คน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก 30 คน ให้ดื่มน้ำส้มเขียวหวานทุกวัน วันละ 1 แก้ว เป็นเวลา 1 ปี กลุ่มสอง 45 คน

"ลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งตับ"

ไม่ได้ดื่ม ปรากฏว่า กลุ่มแรกไม่มีใครเป็นมะเร็งตับเลย ขณะที่กลุ่มสอง มีอัตราเป็นมะเร็งตับร้อยละ 8.9 คณะนักวิจัยเตรียมขยายเวลาศึกษาวิจัยเป็น 5 ปี เพื่อให้ได้ผลที่แม่นยำขึ้น

ด้านมูลนิธิวิจัยมะเร็งอังกฤษ ให้ความเห็นว่า กลุ่มตัวอย่างในงานวิจัยชิ้นหลังมีจำนวนน้อยเกินกว่าที่จะให้ผลชัดเจนว่า การทานส้มเขียวหวานช่วยลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งตับได้ และในขณะนี้ยังไม่มีงานวิจัยยืนยันว่า ผลไม้ชนิดใดให้ผลเรื่องนี้เป็นพิเศษ แต่ละปีอังกฤษพบผู้ป่วยมะเร็งตับรายใหม่เกือบ 2,800 ราย อย่างไรก็ดี มูลนิธิหัวใจอังกฤษ เห็นว่า งานวิจัยของญี่ปุ่นสนับสนุนคำแนะนำของมูลนิธิ เรื่องทานผักและผลไม้อย่างน้อยวันละ 5 จาน จะลดความเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดและหัวใจได้

ที่มา : http://www.panclinic.com


วันศุกร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ทานผักสลัดน้ำเป็นประจำลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งได้

คณะนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยอัลสเตอร์ศึกษาพบว่า ผักสลัดน้ำช่วยลดความเสียหายทางดีเอ็นเอที่จะเกิดขึ้นกับเซลล์เม็ดเลือดขาว อันเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เซลล์พัฒนาไปเป็นมะเร็ง

พวกเขาศึกษากับอาสาสมัครสุขภาพดี 60 คน ในจำนวนนี้ครึ่งหนึ่งสูบบุหรี่ ให้อาสาสมัครรับประทานผักสลัดน้ำวันละ 85 กรัม เป็นเวลา 8 สัปดาห์ หลังจากนั้นพบว่าความเสียหายทางดีเอ็นเอที่เกิดขึ้นกับเซลล์เม็ดเลือดขาวลดลงร้อยละ 22.9 นอกจากนี้เซลล์เม็ดเลือดขาวยังปกป้องตัวเองจากอันตรายของสารอนุมูลอิสระได้มากขึ้นด้วย

ผลวิจัยพบว่า การรับประทานผักสลัดน้ำช่วยเพิ่มระดับสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ลูตีนและเบต้าแคโรทีนในกระแสเลือด

ขณะเดียวกันช่วยลดระดับไตรกีเซอไรด์ที่เป็นอันตรายลงได้ราวร้อยละ 10 ผลดีนี้เห็นได้ชัดเจนมากที่สุดในกลุ่มผู้สูบบุหรี่ที่มีระดับสารต้านอนุมูลอิสระน้อยมากในช่วงเริ่มการศึกษา

ก่อนหน้านี้มีการศึกษาแนะว่า การรับประทานผักในตระกูลกะหล่ำมาก ๆ เช่น ผักสลัดน้ำ ช่วยลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งได้หลายชนิด

แต่การศึกษาครั้งนี้เห็นผลจากการรับประทานในปริมาณไม่มากนักและไม่ใช่ผลที่ได้จากสารสกัดจากผักในห้องทดลอง

ที่มา http://www.panclinic.com


วันพุธที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ผิวสวย หน้าใส ด้วยมะพร้าว

ทราบหรือไม่ว่า มะพร้าวก็สามารถทำให้ผิวสวย หน้าใส ได้ วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน...

- อุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิด

น้ำมะพร้าวถือเป็นเครื่องดื่มเกลือแร่จากธรรมชาติ (Natural Mineral Drink) เพราะอุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิด เช่น โพแทสเซียม เหล็ก โซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ทองแดง กรดอะมิโน กรดอินทรีย์ และวิตามินบี แถมยังมีน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้เป็นพลังงานได้ทันทีอีกด้วย


- ชะลออาการอัลไซเมอร์

การดื่มน้ำมะพร้าวทุกวันจะช่วยชะลออาการอัลไซเมอร์ได้ จากผลงานวิจัยของ ดร.นิซาอูดะห์ ระเด่นอาหมัด อาจารย์ประจำภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พบว่า ในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนคล้ายฮอร์โมนเพศหญิงหรือเอสโตรเจนสูง ซึ่งมีผลช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อมในสตรีวัยทอง นอกจากนี้ การดื่ม น้ำมะพร้าวเป็นประจำทุกวันยังสามารถช่วยสมานแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้นกว่าปกติ และไม่ทิ้งรอยแผลเป็นอีกด้วย

- ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง

น้ำมะพร้าวสามารถช่วยเสริมสร้างความสวยใสของผิวพรรณ ทำให้เปล่งปลั่งและขาวนวลขึ้นจากภายในสู่ภายนอก เพราะในน้ำมะพร้าวมีเอสโตรเจนอยู่ ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวกระชับ ยืดหยุ่น และชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ และในน้ำมะพร้าวยังสามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตและแบ่งเซลล์ได้ดี แถมยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ขับของเสียหรือสารพิษออกจากร่างกาย (คล้ายๆ กับการดีท็อกซ์) จึงช่วยทำให้ผิวพรรณผ่องใส อีกทั้งความเป็นด่างของน้ำมะพร้าวยังช่วยปรับสมดุลของร่างกายในช่วงที่มีความเป็นกรดสูง ทำให้กลไกการทำงานของระบบภายในเป็นปกติ ส่งผลให้มีสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก

- สปอร์ตดริ๊งค์จากธรรมชาติ

เนื่องจากน้ำมะพร้าวมีปริมาณเกลือแร่ที่จำเป็นสูง รวมทั้งมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาความอ่อนเพลียเนื่องจากอาการท้องเสียหรือท้องร่วงได้ จึงจัดเป็นสปอร์ตดริ๊งค์ (Sport Drink) สามารถดื่มหลังการสูญเสียเหงื่อจากการเล่นกีฬาหรือออกกำลังกาย นอกจากนี้ ในประเทศไต้หวันและประเทศจีน ยังนิยมดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อลดอาการเมาหลังการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีกด้วย


รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าอยากมีผิวสวย หน้าใส ก็ดื่มน้ำมะพร้าวกันดูได้

ที่มา http://www.panclinic.com


วันอังคารที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2553

คนส่วนใหญ่ต่างรู้ประโยชน์ของผลไม้หรือผักว่ามีวิตามินและแร่ธาตุมากมาย แต่เชื่อไหมว่า ผลไม้บางชนิด มีแร่วิตามินและแร่ธาตุที่พิเศษแตกต่างกันออกไป

มีพืชผักผลไม้อยู่ 7 ชนิด ที่มีผล "โดยตรง" กับสุขภาพของ "ผู้หญิง

ลูกพรุน : เป็นแหล่งโปแตสเซียม เหล็ก และไฟเบอร์ ที่สำคัญลูกพรุนช่วยทำให้ผิวพรรณมีเลือดฝาด คงความเป็นหนุ่มเป็นสาว คนเรานั้นเมื่อผ่านช่วงสดใสของชีวิตคือวัย 25 ปี ร่างกายจะเริ่มเสื่อมโทรม ไขมันเริ่มเข้าสะสมตามที่ต่างๆ ใบหน้าที่เคยเอิบอิ่มด้วยเลือดฝาดก็เริ่มหมองคล้ำ ผิวพรรณจากสีชมพูระเรื่อก็เริ่มซีดโทรม ธาตุเหล็กที่มีมากในลูกพรุน จะช่วยดูแลเรื่องนี้ ควบคู่กับภาวะที่สตรีต้องสูญเสียเลือดและธาตุเหล็กไปกับประจำเดือนอีกด้วย

ถั่ว : อุดมไปด้วยโปรตีน เหล็ก และวิตามินบี นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า เมื่อรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ชนิดที่ละลายน้ำได้ (ซึ่งมีในถั่วมาก) ไฟเบอร์จะเคลือบผิวกระเพาะ ทำให้รู้สึกอิ่มเร็ว อิ่มนาน ความอยากอาหารจะลดลง แต่ยังมีสารอาหารอื่นๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอยู่มากด้วย จึงไม่เหมือนไฟเบอร์อื่นๆ ที่ไม่ให้สารอาหารที่มีคุณค่ากับร่างกาย นั่นทำให้ผู้หญิงรูปร่างดีโดยที่ไม่ขาดสารอาหารด้วย

บรอคโคลี : เป็นแหล่งซีลีเนียมตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยบำรุงผิวพรรณ และช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง ทำให้ผิวดูอ่อนนุ่มมีน้ำมีนวลเหมือนหนุ่มสาว แถมยังช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้

กล้วย : ในกล้วยไข่มีสารเบต้าแคโรทีน ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เมื่อเราอายุเลย 22 ปีไปแล้ว ความเจริญเติบโตของร่างกายจะเริ่มหยุดชะงัก ความเสื่อมของร่างกายเริ่มมาเยือนช้าๆ ทำให้เซลล์ในร่างกายทุกเซลล์ผลิตอนุมูลอิสระมากขึ้น นอกจากนั้นเมื่อร่างกายเสื่อมสภาพ ความสามารถในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอก็จะลดลงเรื่อยๆ พร้อมกันนั้นความสามารถในการจำกัดอนุมูลอิสระก็ลดลงอย่างตกใจ ดังนั้นสาวๆ ควรสนใจรับประทานกล้วย โดยเฉพาะกล้วยไข่ให้มากขึ้นก็จะยอดมาก!

ฝรั่ง : เชื่อหรือไม่ว่าฝรั่ง 1 ขีด มีวิตามินซีสูงถึง 180 มิลลิกรัม ซึ่งวิตามินซีนี้มีบทบาทในการสร้าง "คอลลาเจน"ที่ทำให้ผิวพรรณเต่งตึง ยืดหยุ่น ไม่หย่อนยานก่อนวัย

แอปเปิ้ล : มีสารอาหารที่สำคัญคือ เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ ที่ชื่อ "เพคติน" ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดความอยากอาหาร ลดน้ำหนัก และลดคอเลสเตอรอล ยามใดก็ตามที่หิวจนกินช้างหมดตัวได้ กินแอปเปิ้ลสักลูกจะดีกว่ามากๆ เลย (จริงๆ นะ)

ส้ม : แหล่งวิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยธรรมชาติอันอุดม รู้ไหมว่า การรับประทานส้มโดยไม่คายกากจะช่วยคุมน้ำหนักได้อีกทางหนึ่ง เพราะจะทำให้อิ่มท้องเร็ว เป็นประโยชน์สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักได้อย่างดีทีเดียว

ที่มา : http://www.panclinic.com

วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2553

วิตามินดีมีคุณมากกว่าเดิม คนที่กินทุกวันตายช้ากว่า

วารสารอาร์ไคฟ์ ออฟ อินเทอร์นอล เมดิซิน รายงานการศึกษาของนักวิจัยยุโรป ที่สรุปว่า

การกินวิตามินดีทุกวันจะช่วยให้มีอายุยืนยาวขึ้น ทั้งนี้เป็นผลจากการศึกษาเรื่องผลกระทบจากวิตามินดี จากการวิเคราะห์ข้อมูลการศึกษาที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ในกลุ่มผู้ป่วยเกือบ 60,000 คน จากผลการศึกษาเรื่องวิตามิน 18 ชิ้นก่อนหน้านี้ที่มีการตีพิมพ์ไปแล้ว จนถึงปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าวิตามินดีเป็นประโยชน์ต่อกระดูกและฟัน

ทีมนักวิจัยจากหน่วยงานวิจัยนานาชาติว่าด้วยมะเร็ง ในลียง และสถาบันวิจัยมะเร็งยุโรป ในมิลาน กล่าวว่า

สารประกอบ ซึ่งมีชื่อเรียกว่า “วิตามินแสงแดด” ที่สร้างขึ้นโดยผิวหนังเมื่อต้องแสงอาทิตย์นั้น จะช่วยให้ห่างไกลจากโรคมะเร็ง เบาหวาน และโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (เอ็มเอส) ถ้าหากได้รับวิตามินดีเข้าสู่ร่างกายได้ในระดับสูง ก็จะมีบทบาทอย่างสำคัญในการลดการเป็นโรคหัวใจ และป้องกันอาการครรภ์เป็นพิษลงได้

หัวหน้าคณะวิจัยกล่าวว่า

หลังจากตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดแล้ว พบว่าคนที่กินวิตามินดีทุกวันจะมีอายุยืนกว่าคนที่ไม่ได้กินถึง 7 เปอร์เซ็นต์ นั่นหมายถึงว่าจะมีอายุยืนขึ้นอีก 1-2 ปี อย่างไรก็ตาม กลไกที่ทำให้เกิดผลเช่นนี้ยังไม่ชัดเจนนัก แต่คาดว่าอาจจะเป็นเพราะวิตามินดี เข้าไปปิดกั้นเซลล์มะเร็งไม่ให้กระจายตัว หรือกระตุ้นระบบภูมิคุ้มโรคก็
ได้

ที่มา : www.panclinic.com

วันอังคารที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2553

ล้างหน้าอย่างไรให้ผิวสวย

สำหรับทุกคนแล้วใบหน้าถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะใบหน้าเป็นสิ่งที่แสดงถึงความเป็นตัวของเราออกมาให้เห็นได้ชัดเจนที่สุด ดังนั้น ใบหน้าจึงเป็นส่วนที่ควรได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี และถูกวิธี ซึ่งต้องเริ่มตั้งแต่การล้างหน้าเลยนะคะ เพื่อที่จะให้เรามีใบหน้าที่สวยใส เปล่งปลั่ง เพราะคนส่วนใหญ่คิดว่าการล้างหน้าเป็นเรื่องง่ายๆ อันที่จริงแล้วคุณทราบไหมคะว่า ถ้าเราล้างหน้าผิดวิธี หรือล้างบ่อยเกินไป อาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดสิว และริ้วรอยตามมา เราลองมาดูกันนะคะว่า เราล้างหน้าถูกวิธีกันหรือเปล่า

1. จำนวนครั้งในการล้างหน้า
ทุกคนทราบไหมคะว่าในแต่ละวันเราควรล้างหน้ากี่ครั้ง หลายคนคงพอจะทราบคำตอบแล้ว นั่นคือ 2 ครั้ง ช่วงเช้าและเย็นก็เพียงพอค่ะ เราจะพบว่าคนที่ล้างหน้าบ่อยๆ จะทำให้เกิดสิว แต่ถ้าเราทำงานที่ต้องพบกับมลภาวะ ฝุ่น ควัน หรืองานทีทำให้มีเหงื่อมาก ก็สามารถเพิ่มการล้างหน้าได้อีกครั้ง เราจึงควรใช้สบู่อ่อนๆ เจลหรือโฟมล้างหน้า ไม่ควรใช้สบู่ที่ใช้กับผิวกายมาล้างหน้า เนื่องจากมีความเป็นด่างสูง อาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้ง่าย

2. ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ล้างหน้า
สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่จะช่วยให้เรามีใบหน้าที่สะอาด สดใส ก็คือการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวหน้าของเรา ถ้าเราไม่ได้เป็นคนแต่งหน้าจัด ก็ใช้แค่เจลหรือโฟมล้างออกก็เพียงพอ แต่ถ้าเราแต่งหน้าจัด ควรใช้ Cleansing Cream เช็ดทำความสะอาดเครื่องสำอางออกให้หมดเสียก่อน แล้วใช้เจลหรือน้ำเปล่าล้างหน้าอีกครั้ง

3. น้ำที่ใช้ล้างหน้า
ในการล้างหน้านั้นทุกคนก็คงต้องใช้น้ำสะอาดในการล้างหน้ากันเป็นประจำอยู่แล้ว แต่เราก็ต้องคำนึงถึงอุณหภูมิของน้ำด้วยนะคะ เราไม่ควรใช้น้ำร้อนหรือน้ำอุ่น เพราะจะทำให้ผิวหน้าของเราแห้ง ถ้าเราเป็นคนที่ผิวแห้งอยู่แล้วก็จะทำให้ผิวแห้งมากขึ้นกว่าเดิม และจะทำให้ผิวหน้าของเราจะสูญเสียความชุ่มชื้น ดังนั้นเราควรหลีกเลี่ยงนะคะ

4. วิธีการล้างหน้า
หากพูดถึงวิธีการล้างหน้าหลายคนอาจคิดแต่เพียงว่าถูสบู่หรือโฟมให้ทั่วใบหน้าก็เพียงพอแล้ว แต่ความจริงแล้วมีรายละเอียดมากว่านั้นคะ ซึ่งวิธีที่ถูกต้องมีดั้งนี้
- ไม่ควรให้เจลหรือโฟมสัมผัสกับผิวหน้าโดยตรง ควรผสมน้ำเล็กน้อยลงบนฝ่ามือก่อน แล้วค่อยนวดลงบนใบหน้า
- การถูใบหน้าควรลูบไล้อย่างเบามือให้ทั่วใบหน้า ไม่ควรถูแรงๆ เพราะอาจทำให้ผิวถลอกได้
- อีกประการหนึ่งก็คือ ไม่ควรถูเจลหรือโฟมนานเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้ และจะทำให้ชั้นขี้ไคลก็คือชั้นหนังกำพร้าที่เกาะติดอยู่บนผิวหนังชั้นบนควบคู่ไปกับชั้นน้ำมันเคลือบผิว ที่เป็นเกราะคุ้มครองปกป้องผิวหน้าจากฝุ่นละออง เชื้อโรคไม่ให้ซึมผ่านลงไปทำร้ายผิว

5. การซับหน้า
หลังจากที่ล้างหน้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่ควรปล่อยให้ใบหน้าแห้งเอง เพราะจะทำให้ใบหน้าแห้งตึงและเกิดริ้วรอยบนใบหน้าได้ง่าย ควรซับหน้าเบาๆ ไม่ใช่เช็ดนะคะ แต่เป็นการซับเบาๆ เพราะหากเราเช็ดหรือถูด้วยผ้าแรงๆ จะทำให้ผิวของเราหยาบกร้านและเกิดการระคายเคืองได้ง่าย

6. หลังการล้างหน้า
เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนการล้างหน้าแล้ว สิ่งสำคัญที่เราควรทำเป็นประจำทุกวันก็คือ ควรใช้ครีมกันแดดเพื่อปกป้องรังสี UV ไม่ให้ใบหน้าหมองคล้ำ และจะต้องไม่ลืมที่จะทา Moisturizer เพื่อเคลือบผิวหน้าไว้ เพื่อไม่ให้ความชุ่มชื้นสูญเสียไป

ทีนี้ทุกคนคงทราบวิธีการล้างหน้าที่ถูกต้องแล้ว ลองนำไปปฏิบัติดู จะได้มีใบหน้าที่สวยใส เปล่งปลั่งกันคะ


ที่มา http://www.panclinic.com


วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

นิ้วไหนใส่แหวนแล้วโชคดี

ถ้าอยากให้**ความรักมั่นคง**
ก็ต้องนิ้วที่ตรงกับหัวใจที่สุด อย่าง **นิ้วนาง** ข้างซ้ายเลย**



ถ้าอยากให้มี**โชคในเรื่องความรัก**
ต้องสวมแหวน**นิ้วก้อย**ข้างซ้าย**




ถ้าอยากให้ใคร**คนนั้นสนใจ**
ต้องสวมแหวนที่**นิ้วชี้**ข้างซ้าย**




ถ้าอยาก**โชคดีและมีความราบรื่น **
ในด้านต่างๆ ต้องสวมแหวนที่**นิ้วนาง**ข้างขวา **




ถ้าอยาก**มีเสน่ห์คนชอบมากๆ **
ต้องสวมแหวนที่**นิ้วหัวแม่มือ** จะเป็นด้านขาว หรือด้านซ้ายก็ด้าย**




ถ้าอยาก** ปลอดภัยจากความชั่วร้าย**
ต้องสวมแหวนที่**นิ้วกลาง ** จะสวมข้างไหนก็ด้าย**




ถ้าอยากมี **โชคทางการเงิน**
ต้องสวมแหวนที่* *นิ้วกลาง**ข้างขวา*





ที่มา : http://www.panclinic.com


วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553

แพนคลินิกร่วมสนับสนุนการประกวด Missteen Thailand 2010

แพนคลินิกร่วมสนับสนุนการประกวด Missteen Thailand 2010 ลูกค้าที่สนใจเข้าร่วมประกวด Missteen Thailand 2010 สามารถรับใบสมัครได้ที่แพนคลินิกทุกสาขาค่ะ





ภายในงานเตรียมพบกับกิจกรรมมากมาย กับ แพนคลินิกให้ลุ้นรับทรีทเม้นท์ กันไป ฟรี ฟรี!!!
1. ส่วนแรก สำหรับ สื่อและแขกของทางกองประกวด ให้เป็น Nourishing Treatment
(คูปองหมดอายุ 30 พ.ย.53)
2. ส่วนสอง สำหรับ กิจกรรมเล่นเกมส์ภายในบูธ มีคูปองทรีทเม้นท์ดังนี้ค่ะ
- Acne Treatment
- Absolute PBT
- Natural Whitening


หมายเหตุ สำหรับกิจกรรมเล่นเกมส์ภายในบูธคูปองกำหนดวันหมดอายุ ภายในหนึ่งเดือนค่ะ






คุณสมบัติผู้เข้าประกวด
• เพศหญิง/ อายุ 15-18 ปี / สัญชาติไทย
• สถานภาพโสดไม่เคยผ่านการสมรส หรือให้กำเนิดบุตร
• ระดับการศึกษามัธยมศึกษา หรือเทียบเท่าขึ้นไป/ สามารถ ฟัง-พูด-อ่าน-เขียน ภาษาไทยได้ดี
• มีบุคลิกภาพดี/ กล้าแสดงออก
• ไม่มีข้อผูกพัน หรือสังกัดกับหน่วยงาน หรือบริษัทใดๆ เกี่ยวข้องกับการเป็นแบบโฆษณา

เอกสารในการสมัคร
• ใบสมัครของทางกองประกวด พร้อมคำรับรองของผู้ปกครอง
• รูปถ่ายขนาดโปสการ์ด (6x4 นิ้ว) ถ่ายหน้าตรง 1 รูป และเต็มตัว 1 รูป รวม 2 รูป
• สำเนาทะเบียนบ้าน และสำเนาบัตรประชาชน หรือสำเนาบัตรประจำตัวนักศึกษา

การสมัครเข้าประกวด
• เปิดรับสมัครสำหรับผู้สนใจที่มีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ ไม่จำกัดจำนวนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
• ผู้สมัครต้องใช้แบบฟอร์มใบสมัครของกองประกวด Miss Teen Thailand 2010 หรือสมัครผ่าน http://www.missteenthailand.com/ เท่านั้น

สมัครด้วยตนเองที่
• Mari-j สยามสแควร์ : ลานหน้า HardRock Café สยามสแควร์
• บริษัท อินสไพร์ เอนเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด เลขที่ 115/66 หมู่ 12 ซอยรามอินทรา 40
ถนนรามอินทรา แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กทม. 10230 วันจันทร์-ศุกร์
ในเวลา 10.30-18.00 น.
• สมัครผ่านทาง http://www.missteenthailand.com/ พร้อมปริ้นใบสมัครแล้วนำหลักฐานตัวจริงมาในวันประกวด
รอบคัดเลือกในแต่ละภาค

กำหนดการของส่วนภูมิภาค
• ผู้สมัครเข้าประกวดทั้งหมดจะต้องมาลงทะเบียนในเวลา 8.00น. และปิดรับลงทะเบียนเวลา 12.00 น. หากมาสาย ทางกองประกวดจะตัดสิทธิ์ในการประกวดทันที
• การคัดเลือกผู้เข้าประกวดจะเริ่มในเวลา 10.00 – 17.00 น.
• คณะกรรมการจะประกาศผลการคัดเลือกผู้เข้ารอบของแต่ละภาค ในเวลา 18.30 น.
• ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกทั้งหมด จะต้องรอฟังคำชี้แจงจากกองประกวด เพื่อรับทราบ
รายละเอียดของการประกวดรอบแรกในวันที่ 10 ต.ค. 2553



กำหนดการประกวด MissTeen Thailand 2010

รอบแรก

10 ตุลาคม 2553 การประกวด Miss Teen Thailand 2010 รอบแรกคัดเหลือ 50 คน ณ ห้องบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ ชั้น 4 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว

รอบเก็บตัว
11-12 ตุลาคม 2553 ผู้เข้าประกวด Miss Teen Thailand 2010 ทั้ง 50 คน ร่วมถ่ายรูปลงสูจิบัตร ปฐมนิเทศเยี่ยมสื่อโทรทัศน์และสื่อสิ่งพิมพ์
13-17 ตุลาคม 2553 ผู้เข้าประกวด Miss Teen Thailand 2010 ทั้ง 50 คน ร่วมกิจกรรมเก็บตัวกับกองประกวด
20 ตุลาคม 2553 การประกวด Miss Teen Thailand 2010 รอบไม่มีเครื่องสำอาง ณ ห้องบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว ชั้น 4
21 ตุลาคม 2553 การประกวด Miss Teen Thailand 2007 รอบสื่อมวลชน ณ ห้องบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว ชั้น 5

การประกวดรอบตัดสิน
22 ตุลาคม 2553 การประกวด Miss Teen Thailand 2007 รอบตัดสิน ณ ห้องบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว ชั้น 5



สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.missteenthailand.com/


ที่มา http://www.panclinic.com



วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553

หมายเลข กับ ความรัก

ตัวเลขมักสัมพันธ์กับชีวิตเราเสมอ คุณผู้อ่านว่าอย่างนั้นหรือเปล่าคะ ฉบับนี้เพื่อนแพนได้นำหมายเลขที่สัมพันธ์กับความรักมาให้ผู้อ่านได้พิจารณาว่า ใช่ตัวคุณหรือเปล่า


บุคคลหมายเลข 1 หรือผู้ที่เกิดวันที่ 1,10,19 และ 28
ถูกควบคุมโดยพลังแห่งดวงอาทิตย์ ซึ่งถือเป็นเทพเจ้าแห่งความสดใส เป็นความรักที่ถูกกระตุ้นให้ร่าเริงอยู่เสมอกระตือรือร้นที่จะรักชอบแสดงออก เมื่อรักแล้วจะเต็มไปด้วยพลังแห่งการสร้างสรรค์เปี่ยมไปด้วย ชีวิตชีวาเป็น รัก ที่เปิดเผยมักจะบอกกล่าวให้คนรอบข้างและสาธารณชนได้รับรู้ในมุมกลับกันถ้ารักเป็นพิษหรือไม่สมหวังก็พร้อมที่จะแผดเผาด้วยอารมณ์ที่รุนแรงได้ เช่น กันมุมมองด้านความรัก คือทะเยอทะยานเร้าใจเหมือนรถแข่งที่พร้อมจะทะยานเข้าสู่เส้นชัย


บุคคลหมายเลข 2 หรือผู้ที่เกิดวันที่ 2,11 ,20 หรือ 29
ถูกควบคุมโดยพลังแห่งดวงจันทร์ หรือเทพียามค่ำคืน เป็นความรักที่อ่อนโยนอบอุ่นโรแมนติก ครุ่นคิด ไตร่ตรอง ทบทวนแผ่วเ บาดำเนิน ไป อย่างช้าๆ แต่ต่อเนื่องยาวนาน ในมุมกลับกันมักจะครุ่นคิดจนวิตกกังวล หึงหวงเกินขอบเขต มุมมองด้านความรัก คือ ลึกซึ้ง อ่อนโยนเหมือนเรือที่วิ่งเข้าสู่ท่าเทียบเรืออย่างสงบ


บุคคลหมายเลข 3 หรือผู้ที่เกิดวันที่ 3, 12,21 และ 30
ถูกควบคุมโดยพลังของดาวพฤหัสบดี ซึ่งถือเป็นเทพเจ้าของการเรียนการสอนรูปแบบแห่งรักจึงมีการชี้นำการอบรม เป็นห่วงเป็นใยแบบพ่อแม่ดูแลบุตร พี่ชายดูแลน้องสาว ครูบาอาจารย์ดูแลศิษย์ มีความเอื้ออาทรเป็นสายใย นี่คือแบบฉบับของรักที่เปี่ยมไปด้วยไมตรี บางคู่ก็อาจเป็นรักที่เกิดจากคนต่างวัยแต่มีสายใยแห่งความเข้าใจ เป็นสิ่งผูกมัดในมุม กลับกันก็พร้อมที่จะเป็นรักในรูปแบบที่เย็นชา วุ่นวายเรื่องส่วนตัวเกินขอบเขต มุมมองด้านความรัก คือ การสนทนานำพาสติปัญญาให้งอกงาม


บุคคลหมายเลข 4 หรือผู้ที่เกิดวันที่ 4,13,22 และ 31
ถูกควบ คุมพลั งแห่งรักโดยดา วมฤตยู หรื อดาวยูเรนัส เทพเจ้าแห่งความคิดอิสระ มีการกระทำในมุมที่ผู้อื่นคาดการณ์ไม่ถึงความรักบางครั้งก็ยากแก่การคาดการณ์ อาจเจอปุ๊บ รักปั๊บ หรือ ไม่ รักไ ม่หวง แต่คอยติดตามความคืบหน้าอยู่ตลอดเวลา ป็นความรัก ที่เกิดขึ้นได้โดย ไม่มีการเตรียมพร้อมแต่พร้อมที่จะ รัก ในมุมกลับกันก็พร้อมที่จะเย็นชาไร้ความรู้สึกไร้ความสนใจเหมือนทุกอย่างคือ ความว่างเปล่ามุมมองด้านความรัก คือ สายลมที่นำพาทุกอย่างมาพร้อมกัน53 A


บุคคลหมายเลข 5 หรือผู้ที่เกิดวันที่ 5,14 และ 23
ถูกควบคุมโดยพลังแห่งดาวพุธ ซึ่งถือว่าเป็นดาวดวงเล็ก แต่มีฤทธิ์ค่อนข้างเกินตัว โดดเด่นทางด้านเดินทาง และมีวาทศิลป์ในการเจรจา สื่อถึงความรักที่โลดแล่นไปตามจังหวะชีวิตขึ้นลง ตามภาวะเหตุการณ์และการเจรจาพาที เป็นความรักที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และสื่อสารถึงกันตลอดเวลา แม้ว่าจะห่างกันคนละมุมโลกความรักเหมือนปรอท เจอแล้วมักมีเหตุให้จากกันชั่วครู่ เมื่อทำภารกิจสำคัญสำเร็จแล้ว ถึงจะได้ย้อนกลับมาเจอกันอีก เรียกว่าจบลงด้วยดีในตอนปลาย ในมุมกลับกันมักเป็นประเภทรักง่าย หน่ายเร็ว มุมมองด้านความรัก คือ อกหักดีกว่ารักไม่เป็น


บุคคลหมายเลข 6 หรือผู้ที่เกิดวันที่ 6,15 และ 24
ถูกควบคุมโดยเทพีวีนัส ซึ่งเปรียบเสมือนเทพีแห่งความรัก เต็มไปด้วยความรักที่มีเสน่ห์ล้นเหลือ เป็นรักที่ยั่วยวนชวนให้หลงใหล เต็มไปด้วยสีสันจินตนาการที่ไร้ขอบเขต ในมุมกลับกันเป็นความรักที่ถูกครอบงำโดยการหลงใหล ประเภทรักไม่รู้จักกาลเทศะไม่รู้จักเวลา ขอเพียงให้ได้รักหรือถูกรักก็พอใจ มุมมองด้านความรัก ความรักคือโอสถทิพย์


บุคคลหมายเลข 7 หรือผู้ที่เกิดวันที่ 7,16 และ 25
ถูกควบคุมโดยดาวพระเกตุ (เนปจูน) เป็นความรักที่ค่อนข้างอิสระเสรี เป็นตัวของตัวเอง เป็นรักที่มีจุดยืนชัดเจนว่าฉัน
เป็นของฉันอย่างนี้ คุณจะเป็นแบบไหนก็คือแบบฉบับของคุณ ขอเพียงแค่เข้าใจในจุดร่วมก็สามารถรักกันได้ ในมุมกลับกันบางครั้งอิสระมากเกินไป จนดูว่าห่างเหินขาดการติดต่อ ไม่สม่ำเสมอ มุมมองด้านความรัก คือ ขอบฟ้าที่กว้างไกลคือสายใยแห่งความรัก


บุคคลหมายเลข 8 หรือผู้ที่เกิดวันที่ 8,17 และ 26
ถูกควบคุมโดยดาวเสาร์ เป็นตัวแทนของเทพเจ้าแห่งความสง่างาม ที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ ยามสงบนิ่ง ในด้านของ
ความรักมักจะก่อตัวอย่างเงียบๆ เปรียบเสมือนถ่านร้อนที่คุโชน เป็นรักที่ไม่ค่อยชอบแสดงออก หรือเปิดเผยในการกระทำมากมาย แต่ก็ก่อตัวอย่างสงบ และหนักแน่นมั่นคง ในมุมกลับกันบางครั้งก็ดูเย็นชาจนขาดความตื่นเต้นเร้าใจ มุมมองด้านความรัก คือ หนักแน่นและมั่นคงดุจขุนเขา


บุคคลหมายเลข 9 หรือผู้ที่เกิดวันที่ 9,18 และ 27
ถูกควบคุมโดยดาวอังคาร ในแง่ของความรักแล้วถือว่า เป็นรักที่ต้องแข่งขันถึงจะเข้าเส้นชัยเป็นคู่รักที่ต้องใช้ความอดทน จนถึงขั้นทรหดในการประคองความรัก แต่ถ้าถึงที่หมายแล้วล่ะก็เชื่อได้ว่าจะเป็นอมตะแห่งรักที่มั่นคงและอบอุ่น ในมุมกลับกันเป็น ความรักที่ก้าวร้าว เห็นแก่ตนเองเป็นสำคัญ มุมมองด้านความรัก คือ การแข่งขันย่อมนำมาซึ่งความสำเร็จ



ที่มา http://www.panclinic.com


วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ผมสวยปราศจากรังแค

เส้นผมของเรานั้นมีหลายลักษณะ แต่ละลักษณะจะมีความแตกต่างกัน และมีวิธีการดูแลที่ไม่เหมือนกัน หากเราไม่ใส่ใจดูแลสุขภาพเส้นผมให้ถูกวิธี อาจจะทำให้เส้นผมและหนังศีรษะของเรามีปัญหาตามมา เช่น ผมแตกปลาย หรือเกิดรังแค เส้นผมช่วยเสริมบุคลิกภาพของเราได้ แล้วคุณทราบหรือไม่ว่า ผมของคุณมีลักษณะแบบไหน และมีวิธีการดูแลรักษาอย่างไร

ผมธรรมดา มีลักษณะเส้นผมที่มีสุขภาพดี มีความเงางามตามธรรมชาติ ไม่แห้งเกินไป และไม่มันเกินไป เส้นผมจะอยู่ทรงและจัดทรงง่าย การดูแลจึงง่ายไม่ค่อยจะมีปัญหามากนัก สระผมสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งก็พอค่ะ

ผมแห้ง มีลักษณะขาดความเงางาม ดูแล้วรู้สึกหยาบกระด้าง ต้องดูแลมากเป็นพิเศษ เลือกใช้แชมพูที่มีส่วนผสมของโปรตีน เน้นนวดที่ปลายผมให้มาก หลังจากสระผมเสร็จแล้วให้เลือกใช้วิตามินบำรุงเส้นผมด้วยค่ะ อาจเสริมด้วยการหมักผมอาทิตย์ละ 2 ครั้ง

ผมแตกปลาย มีลักษณะของเส้นผมแห้ง ดูขาดชีวิตชีวา และแตกบริเวณส่วนปลายผม หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี เช่น ย้อมผม ดัดผม ยืดผมบ่อยเกินไป จะทำให้เส้นผมแตกปลายได้ง่ายขึ้น การดูแลผมแตกปลายที่ดีที่สุดก็คือเล็มส่วนปลายผมที่แตกปลายออก เลือกผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับสภาพเส้นผมที่แห้งเสีย ใช้ครีมนวดผมเป็นประจำ รวมถึงการอบไอน้ำเดือนละ 2 ครั้ง

ผมฟู มีลักษณะแห้งขาดความชุ่มชื้น ขาดน้ำหนัก ขาดชีวิตชีวา การดูแลควรเลือกใช้แชมพูสระผม สำหรับผมแห้งโดยเฉพาะ ควรใช้ครีมนวดผมเป็นประจำเพื่อคืนความชุ่มชื้นให้กับเส้นผม ควรหมักผมสัปดาห์ละครั้ง

ผมมัน มีลักษณะหนังศีรษะมันมาก ผมเป็นมันเยิ้ม ลีบแบน มีฝุ่นละอองปลิวมาติดง่ายเป็นเหตุให้เกิดอาการคันศีรษะ ซึ่งผู้ที่มีปัญหาผมมันจะทำให้เกิดรังแคได้ง่าย สาเหตุเกิดจากต่อมไขมันบนหนังศีรษะ ผลิตน้ำมันมากเกินไป การดูแลเส้นผมง่ายๆ คือ สระผมทุกวัน หรือวันเว้นวัน ถ้าใช้ครีมนวดให้นวดปลายผมเท่านั้น ลดอาหารจำพวกไขมัน และลดความเครียด เพื่อให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนได้ในระดับปกติ

ผมเป็นรังแค มีลักษณะหนังศีรษะที่แห้งและแตกเป็นขุยเนื่องจากความระคายเคือง การชะล้างแชมพูหรือครีมนวดผมออกไม่หมดจนเกิดการระคายเคืองหนังศีรษะ หรือเกิดจากความเครียด ทำให้ภูมิต้านทานลดลงจนเกิดเชื้อราขึ้น โดยมีวิธีดูแลง่ายๆ เพื่อที่คุณจะได้มีเส้นผมที่สวยและปราศจากรังแค ขอแนะนำให้ปฏิบัติดังนี้ค่ะ

1. ใช้แชมพูที่รักษารังแคโดยเฉพาะ แชมพูที่มีส่วนผสมของ Ketoconazole หรือ Selenium sulfide (Zinc Pyrithione)
2. เวลาสระผม จะต้องทิ้งตัวยาบนผมอย่างน้อย 5 นาที เพื่อให้ตัวยาสัมผัสกับหนังศีรษะ และใช้ครีมนวดผมสูตรเฉพาะเพื่อรักษารังแคร่วมด้วยนะค่ะ
3. ควรสระผมทุกวันจนกว่าจะหาย เมื่อหายแล้ว ให้คุมอาการอีกประมาณ 2 สัปดาห์ ถ้าหายแล้วก็อาจจะสระวันเว้นวันหรือ 2 วันสระก็ได้ แต่ควรสังเกตดูอาการ วันไหนมีอาการคันก็ควรสระผมด้วยค่ะ
4. ถ้าระหว่างวันมีอาการคันสามารถใช้ CM Lotion ทาตรงบริเวณที่คัน


เมื่อเรารู้วิธีการรักษาแล้วก็ต้องนำไปปฏิบัติด้วยนะค่ะสำหรับคนที่มีปัญหารังแค สามารถหาซื้อผลิตภัณฑ์ได้ที่แพนคลินิก K Shampoo เป็นแชมพูรักษารังแค มีส่วนประกอบของ Ketoconazole และมี Dandostat เป็นครีมนวดที่เสริมการรักษารังแค มีส่วนประกอบของ Zinc Pyrithione


ที่มา http://www.panclinic.com



วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วิธีกระชับคางย้อยเข้ารูปทรง

ใครที่กำลังหาวิธีแก้ปัญหาคางไม่ได้สัดส่วน หรือคางย้อย วันนี้เกร็ดความรู้มีวิธีกระชับคางย้อยเข้ารูปทรงมาฝากกัน...


การแก้ปัญหาคางที่ไม่ได้สัดส่วน หรือคางย้อย

ให้กลับมาสวยงามได้ รูปทรง คาง เป็นจุดหนึ่งที่สำคัญของความงามบนใบหน้า ตามวิธีธรรมชาติโดยไม่ต้องทำศัลยกรรมตกแต่ง ให้สิ้นเปลืองเงินทองหรือเสี่ยงอันตรายสามารถทำได้โดย


เริ่มต้นจากตอกไข่

คัดเอาแต่ไข่ขาวล้วน ๆ ตีเบา ๆ นำมาทาใต้คางและแก้มส่วนล่างที่หย่อนยาน เริ่มกระบวนการจากใต้ใบหูข้างหนึ่ง ไปอีกข้างหนึ่ง โดยใช้หัวแม่มือแตะใต้กกหู แล้วค่อย ๆ ยกขึ้น วนไปตามแก้มและคาง กดและยกเบา ๆ อยู่ประมาณ 15 นาที ถ้ากลัวเมื่อยก็เอาข้อศอกเท้าโต๊ะไว้ รอจนไข่ขาวแห้งสนิท แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำอย่างนี้เพียงอาทิตย์ละสองครั้งก็จะแก้ปัญหานี้ได้แล้ว



ถ้าใครรู้ตัวว่า คางไม่ได้สัดส่วน หรือคางย้อย ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้

ที่มา : http://www.panclinic.com

วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2553

การปัดขนตาให้งอนสวย

วันนี้เกร็ดความรู้มีวิธีการปัดขนตาให้งอนสวยมาฝากกัน...



1. ถ้าแปรงปัดชุ่มไปด้วยเนื้อมาสคาร่า ให้ใช้กระดาษทิชชูซับขนแปรงก่อน จะทำให้มาสคาร่าไม่เลอะขณะปัดตา



2. ควรหลีกเลี่ยงการชักแปรงเข้าออกจากหลอด เพราะจะทำให้เนื้อมาสคาร่าแห้งเร็ว



3. ถ้าอยากให้เนื้อมาสคาร่าติดแปรงปัดมากขึ้น ให้หมุนแปรงขณะที่อยู่ข้างในหลอด



4. ควรปัดมาสคาร่าเคลือบขนตามากกว่า 1 ครั้ง เพื่อให้ขนตาดูหนาและยาวขึ้น ควรปัดซ้ำอีกรอบโดยปัดจากโคนขนตาไปถึงปลายขนตา หากปัดพลาด ให้ปัดซ้ำครั้งที่ 3 เฉพาะตรงปลายขนตาเท่านั้น และควรรอให้มาสคาร่าครั้งแรกแห้งก่อนแล้วจึงปัดซ้ำอีกครั้ง



5. การปัดมาสคาร่าที่ขนตาล่างให้ปัดแปรงไปตามแนวขวางเพื่อไม่ให้เนื้อมาสคาร่าเลอะเกินไป ช่วยให้ขนตาไม่ติดกันเป็นแพและแข้งกระด้าง



6. อายุของมาสคาร่าอยู่ได้ประมาณ 6 เดือน ถ้าทิ้งไว้นานกว่านี้เนื้อมาสคาร่าจะแห้งและเกาะกันเป็นก้อน



7. ถ้ามีรอยคล้ำที่ดวงตา ให้ปัดเฉพาะขนตาบนเพราะจะทำให้ดวงตาเปล่งประกายสดใส



8. ถ้าเป็นคนที่มีตาชิด ให้ปัดมาสคาร่าเฉพาะด้านหางตาทั้งขนตาบนและล่าง



9. ถ้าคนมีดวงตาโตลึก ให้ปัดมาสคาร่าทั้งขนตาบนและล่าง และแปรงตาให้เรียงเส้นสวยงาม



10. ถ้าเป็นคนตาเล็ก ให้ปัดมาสคาร่าเฉพาะขนตาบนและเน้นที่ขนตาด้านนอก



ถ้าอยากมีขนตาที่งอนสวย ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้


ที่มา http://www.panclinic.com


วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ปัญหารูขุมขนกว้างมีวิธีกระชับรูขุมขนให้เล็กลง

กระชับรูขุมขนให้เล็กลง

ยังไม่มีวิธีการใดที่จะช่วยทำให้รูขุมขนกว้างให้หายได้อย่างถาวรค่ะ มีแต่เพียงการช่วยกระชับรูขุมขนให้เล็กลงแต่ก็ช่วยได้มากและดูดีขึ้นได้ แต่ยังไงก็แล้วแต่ก็จะกลับมาเป็นได้อย่างเดิมหากมีการขัดถูและเช็ดหน้าอย่างรุนแรงและต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ

วิธีกระชับรูขุมขนให้เล็กลง มีดังนี้

1. การทำ Chemical Peeling ด้วย AHA,PHA
2. การทำไอออนโต โดยใช้ยากลุ่มวิตามินเอ, Hyaluronic acid , aloe vera
3. การทาครีมที่ผสมด้วยกรดผลไม้อ่อนๆ เช่น AHA,PHA เป็นประจำ เพื่อช่วยในการผลัดผิวที่มีความหยาบกร้านให้หลุดลอกออกไปได้ง่าย จึงช่วยให้ผิวขาวเนียนใสขึ้นได้
4. การทำ rejuvenation ด้วยเครื่อง IPL (Intense Pulse Light) ช่วยกระชับรูขุมขนให้ผิวเต่งตึงอ่อนเยาว์ ด้วยพลังงานแสงที่ปลอดภัย ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวหนังทำให้รูขุมขนกระชับขึ้น ริ้วรอยค่อยๆจางหมดไป

ที่มา http://www.panclinic.com


วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

หลากวิธี ลบรอยแผลเป็น ที่ไม่พึงประสงค์

หลากวิธี ลบรอยแผลเป็น ที่ไม่พึงประสงค์


สำหรับผู้หญิงเราคงไม่มีใครชอบให้มีรอยต่างๆ บนใบหน้า ไม่ว่าจะเป็น สิว ฝ้า รอยหมองคล้ำ ยิ่งรอยแผลเป็นแล้วละก็คงไม่มีใครอยากให้เกิดแน่นอน แต่ถ้าเป็นไปแล้วและหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ยังพอมีวิธีลดรอยแผลเป็นนั้นหรือกำจัดออกไปได้ ซึ่งมีด้วยกันอยู่หลายวิธีและก็มีกรรมวิธีที่แตกต่างกันไป


แผลเป็นคืออะไร เป็นผลจากการซ่อมแซมบาดแผลตามธรรมชาติของร่างการที่เกิดจากอุบัติเหตุ การอักเสบเป็นเวลานานๆ การเกิดโรค หรือการผ่าตัด บาดแผลเหล่านี้เป็นการซ่อมแซมที่มากเกินไปหรือใช้เวลานานเกินไป ซึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ขนาดของบาดแผล ตำแหน่ง เป็นต้น โดยทั่วไปจะมีลักษณะผิวหนังหนาขึ้น สีแดง บางครั้งสีก็จางลง


การหายของแผลและการฟอร์มตัวของแผลเป็นขึ้นอยู่กับ อายุของผู้ป่วย ตำแหน่ง และขนาดของบาดแผล ถ้าอายุยังน้อยการซ่อมแซมแผลมักจะดำเนินไปได้เร็วกว่าคนสูงอายุ และถ้าแผลมีขนาดเล็กย่อมหายเร็วกว่าแผลที่มีขนาดใหญ่ ถ้าแผลเกิดบริเวณที่ข้อต่อ เช่น ข้อศอกหรือบริเวณที่มีการเคลื่อนไหวหรือเสียดสีตลอดเวลา ย่อมมีโอกาสเป็นแผลเป็นได้ง่ายกว่า และตำแหน่งอื่นๆที่เป็นแผลเป็นง่ายได้แก่ ผิวบริเวณคางและกลางหน้าอก เป็นต้น


เราจะต้องทำอย่างไรบ้างเมื่อเกิดแผลเป็น?? นักวิทยาศาสตร์พยายามที่จะหาวิธีรักษาแผลเป็นให้หายขาดมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่พบวิธีใดที่รักษาให้หายขาดได้ แต่ก็พบว่ามีหลายวิธีที่อย่างน้อยก็สามารถทำให้รูปร่างของแผลเป็นเปลี่ยนรูปร่างไปในทางที่ดีขึ้นได้ เช่นขนาดเล็กลงจากแผลที่ขรุขระก็ดูเรียบเนียนมากขึ้น แต่ก็ไช่ว่าจะทำได้ทุกกรณี ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ด้วย และควรจะปรึกษาแพทย์ก่อนว่าคุ้มหรือไม่ที่จะทำ


การรักษาแผลเป็น


Surgical Scar Revision


ก็คือการตัดแผลเป็นให้มีขนาดเล็กลงโดยการผ่าตัด แต่วิธีนี้จะเหมาะในกรณีที่แผลเป็นมีขนาดใหญ่และยาวมากและเมื่อตัดออกแล้วจะทำให้มีขนาดเล็กและบางลง ส่วนผลที่ได้จะดีมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับขนาด ตำแหน่ง และเทคนิคของแพทย์แต่ละท่าน


Dermabration


ส่วนใหญ่จะใช้ในกรณีของแผลเป็นจากสิว, สุกใส, หรือ หลังการผ่าตัด หรือกรณีที่แผลเป็นผิวที่ไม่เรียบแต่หลุมไม่ลึกมาก โดยใช้เครื่องกรอไฟฟ้า จะมีรอยแผลหลังทำบางๆ และจะตกสะเก็ดแล้วหลุดออกไปภายในเวลาประมาณ 1 อาทิตย์ วิธีนี้ถ้าแผลตื้นมากๆ อาจจะพบว่าผิวเรียบขึ้นเกิน 80 เปอร์เซ็นต์


Laser Resurfacing and Pulsed Dye


- Laser Scar Revision เป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถลบรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวที่เป็นรอยนูนหรือรอยบุ๋ม ผิวขรุขระหรือไม่เรียบ และแผลเป็นที่เกิดจากสุกใส โดยใช้เลเซอร์ที่ใช้กรอผิว โดยแพทย์สามารถ set พลังงานให้สูงหรือต่ำหรือจะกรอให้ลึกหรือตื้นก็แล้วแต่ดุลยพินิจของแพทย์ ผู้ป่วยสามารถกลับไปทำงานได้ภายใน หนึ่งสัปดาห์ แต่อาจจะมีรอยแดงๆ หรือชมพูหลงเหลืออยู่บ้างเล็กน้อย แต่อาจจะต้องทำหลายรอบ และต่อเนื่องทุก 2 เดือน และพบว่าหลังการทำเลเซอร์แล้วผู้ป่วยมีอาการคัน หรือปวดแผลเป็นลดลงด้วย


- Soft Tissue Fillers(collagen injections or fat transfer) การใช้สารที่เรียกว่าคอลลาเจน(collagen) ฉีดเข้าไปบริเวณที่เป็นแผลเป็นหลุม เช่นแผลเป็นจากสิวเป็นต้น แต่ผู้ป่วยควรจะต้องทำการทดสอบก่อนว่าแพ้สารตัวนี้หรือไม่โดยการฉีดสารปริมาณเล็กน้อยที่บริเวณท้องแขน ผู้ป่วยที่มีประวัติ โรคภูมิแพ้ (autoimmune) ไม่ควรใช้สารนี้ หลังการฉีดพบว่าแผลตื้นขึ้นทันทีแต่อยู่ไม่ถาวร จะต้องฉีดซ้ำทุก3-6เดือน แพทย์บางท่านใช้เทคนิค ใช้ไขมันจากตัวผู้ป่วยเองเพื่อป้องกันการปฏิเสธของเนื้อเยื่อ แต่จะต้องมีการศึกษามากกว่านี้ และคิดว่าในอนาคตเราอาจจะมีสารที่สามารถใช้ฉีดแบบถาวรซึ่งจะต้องศึกษากันต่อไป


- Punch Grafts and Punch Excixions เหมาะกับแผลเป็นที่เป็นหลุมลึกแต่แคบ โดยการใช้เทคนิคนำผิวหนังที่ปกติจากส่วนอื่นมาเย็บแปะบริเวณที่เป็นหลุม ซึ่จะต้องมีการเย็บและกลับมาตัดไหมหรือจะใช้ผิวหนังบริเวณที่เป็นแผลให้ยกตัวขึ้นก็ได้ ซึ่งมีข้อดีคือ ไม่ต้องเย็บหรือตัดไหม ซึ่งจะดูเป็นธรรมชาติกว่า


Chemical Peels


เหมาะกับแผลเป็นตื้นมากๆ วิธีนี้อาศัยหลักการที่ว่าใช้สารเคมีไปขจัดผิวหนังชั้นบนออก ซึ่งการขจัดเซลล์ผิวหนังชั้นบนจะขจัดลึกมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับความเข้มข้น และชนิดของสาร chemical peel นั้นๆ ถ้าตื้นๆ ก็ไม่จำเป็นต้องรอให้มีการซ่อมแซมแผล แต่ถ้าใช้ชนิดลึกจะต้องรอให้มีการซ่อมแซมหรือรักษาแผลอาจจะถึง 2 อาทิตย์ได้ จะใช้สารแบบใดก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจและประสบการณ์ของแพทย์ ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์ เพราะเท่าที่ทราบในเมืองไทย หมอพบว่ามีการใช้สาร chemical peel ลักษณะเดียวกันนี้มากมายตามร้านเสริมสวยทั่วไป ถ้าไม่เกิดอันตรายใดๆ ต่อใบหน้าเราก็ถือว่าโชคดีไป ขนาดทำโดยแพทย์ถ้าผิวไม่พร้อมจริงๆ ก็ยังมีโอกาสพลาดได้เช่นกัน เพราะการทำง่ายมาก ใช้ก้านสำลีจุ่มสารแล้วนำมาทาบริเวณผิวหน้าเริ่มจากหน้าผากแล้วก็ตามด้วยบริเวณแก้ม เหมือนจะง่ายนะคะ แต่ทุกอย่างมีผลข้างเคียงได้เสมอ แต่ก็เป็นผลข้างเคียงที่ไม่รุนแรงอะไร แผลสามารถหายได้เป็นปกติ100%







Other Scar Treatment Methods


- Pressure bandages and massages เป็นการใช้แรงกดให้แผลมีขนาดแบนลง มักจะแนะนำให้ใช้ร่วมกับการรักษาด้วยวิธีอื่น และต้องทำต่อเนื่องหลายเดือน


- Silicone-containing gels, creams, and bandages เชื่อว่าช่วยลดความแข็งของแผลเป็นได้ แต่แนะนำให้ใช้รักษาควบคู่กับวิธีอื่น


- Cryosurgery เป็นการใช้เครื่องทำความเย็นจี้บริเวณแผลเป็นให้เกิดภาวะถุงน้ำและเกิดการแตกสลายไปในเวลาต่อมา เทคนิคนี้พบว่ามีการลดขนาดของแผลเป็นลงได้บ้าง แต่แนะนำให้ใช้กับภาวะแผลเป็นนูน


- Cortisone (steroid) injections เป็นการใช้สาร steroid ปริมาณหนึ่งฉีดเข้าไปบริเวณแผล ทำให้แผลมีขนาดยุบลงเร็วมาก และก็เป็นวิธีที่ง่ายได้ผลเร็ว ราคาประหยัด แต่ก็ไม่ถาวรต้องมาฉีดซ้ำถ้ามีการนูนขึ้นมาใหม่ และถ้าฉีดซ้ำบ่อยๆก็อาจจะเกิดผิวบางบริเวณที่ฉีดทำให้มองเห็นเส้นเลือดฝอยได้


- Silicone impregnated gels เป็นการใช้สารที่เป็นแผ่น silicone เจลนำมาแปะบริเวณที่เป็นแผลเป็นอย่างต่อเนื่อง แต่แนะนำให้ใช้รักษาร่วมกับวิธีอื่นเช่นกัน จากการศึกษาวิจัยพบว่าสามารถลดขนาดได้เล็กน้อย แต่ถ้าเป็นแผลขนาดใหญ่ก็อาจะทำให้นิ่มลงได้ ข้อดีคือผู้ป่วยสามารถทำเองได้ที่บ้าน แต่จากประสบการณ์ของหมอเองพบว่าแผลเป็นที่เกิดใหม่ๆ มักจะได้ผลดีกว่านะคะ


- Interferon เป็นการใช้สารเคมีฉีดเข้าไปบริเวณแผลเป็นที่มีขนาดกว้างและแข็ง ช่วยลดขนาดและให้นิ่มขึ้นได้


- Intense pulse light เป็นเทคนิคใหม่ซึ่งหมอเคยเล่าให้ฟังแล้วเมื่อฉบับก่อนๆ โดยเชื่อว่าพลังงานของแสงระดับหนึ่งสามารถทำให้เนื้อเยื่อที่เป็นพังผืดเกิดการเรียงตัวได้ใหม่อย่างเป็นระเบียบ และเป็นผลให้แผลเป็นมีขนาดเล็กลงได้ แต่จะต้องทำการรักษาเป็นเวลานานและต่อเนื่อง ขนาดอาจลดลงและนิ่มขึ้นได้ระดับหนึ่ง ซึ่งจะต้องรอการศึกษาค้นคว้าและพัฒนาเครื่องมือต่อไป เพราะถ้าเป็นไปตามสมมุติฐานที่ว่าจริงแผลเป็นก็สามารถหายขาดได้ แนะนำให้ใช้วิธีนี้ควบคู่กับการรักษาวิธีอื่นๆ เพื่อผลการรักษาที่เร็วขึ้น


การรักษาแผลเป็นยังไม่มีวิธีใดรักษาได้หายขาด แต่สามารถทุเลาลงได้ และเปลี่ยนรูปร่างให้มีขนาดเล็กและสวยงามขึ้นได้ แต่ไม่ถาวร ยังคงต้องรอให้มีการศึกษาเพิ่มเติมกันต่อไป การรักษาสามารถใช้หลายวิธีร่วมกันเพื่อให้ได้ผลที่ดีและรวดเร็วที่สุดก็ควรจะปรึกษาแพทย์ก่อนรักษาก็จะดีนะคะ


ด้วยความปรารถนาดีจาก www.panclinic.com

วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ไม่ต้องกังวลกับปัญหาหน้าหมองคล้ำอีกต่อไป...เรานำเคล็ดลับดีๆมาฝาก

เคล็ดลับป้องกันหน้าหมองคล้ำ

1. เลือกคลีนเซอร์ ล้างหน้าให้เหมาะกับผิว เพื่อช่วยขจัดสิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่ที่ใบหน้าให้สะอาดหมดจด ล้างอย่างเบามือไม่ขัดถูหน้า ทำเป็นประจำทุกเช้า-เย็น แล้วซับหน้าเบาๆ ในระหว่างวันถ้าหน้ามันให้ล้างหน้าด้วยน้ำสะอาดอย่างเดียวก็พอค่ะ

2. บำรุงผิวด้วยโลชั่น ที่สามารถซึบซาบสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว เพื่อเติมความชุ่มชื่นให้กับผิวที่สูญเสียไประหว่างล้างหน้า

3. ใช้ครีม ที่มีคุณสมบัติช่วยในการผลัดผิวเก่าและเผยผิวใหม่เพื่อผิวหน้าแลดูสดใส ไม่หมองคล้ำ

4. หลีกเลี่ยง การโดนแดดแรงหรือการทำกิจกรรมต่างๆ ที่ส่งผลให้หน้าหมองคล้ำ ดูไม่สว่างใส ควรใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดทุกครั้งก่อนแต่งหน้าเพื่อปกป้องผิวจากแสงแดดตลอดวัน

5. ก่อนนอน ควรลูบไล้มอยเจอร์ไรเซอร์เพื่อช่วยฟื้นฟูสภาพผิวให้คงความชุ่มชื่นอยู่เสมอ

เมื่อคุณปฏิบัติตามขั้นตอนง่ายๆ นี้แล้ว คุณจะพบถึงความเปลี่ยนแปลงของผิวหน้าที่มีสภาพผิวที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จนใครๆ ต้องทักว่า “สวยขึ้น” ผิวดูดีขึ้นกว่าแต่ก่อน

ที่มา www.panclinic.com


วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เซลลูไลท์เป็นปัญหาที่ทำให้คุณผู้หญิงหลายคนกังวลและหาทางที่จะกำจัด

วิธีกำจัดเซลลูไลท์
ปัญหาสภาพผิวเป็นคลื่นลอนคล้ายเปลือกส้ม บริเวณ ต้นขา ต้นแขน รอบเข่า สะโพก ที่ขจัดได้ยาก แม้จะลดน้ำหนักอย่างไรก็ไม่เป็นผล ดังนั้นจึงมักพบเห็นสุภาพ สตรีเป็นจำนวนมากที่ไม่มีปัญหาด้านน้ำหนัก หากแต่ผิวกายขาดความกระชับเต่งตึง





สาเหตุการเกิดเซลลูไลท์นั้น นอกเหนือจากการขาดการออกกำลังกาย ภาวะโภชนาการที่ ขาดคุณค่า ดื่มน้ำน้อย การรับประทานยาคุมกำเนิด และสาเหตุของวัยที่ก่อให้เกิดการรวมตัว ของกรดไขมันอิ่มตัวจากอาหารที่รับประทานเข้าไป และน้ำตาลก่อตัวสะสมเป็นเซลล์ไขมันส่วน เกิน เซลล์ไขมันสะสมดังกล่าวนี้จะแปรสภาพเป็นเซลลูไลต์ได้ เซลล์ไขมันส่วนเกิน รวมตัวกันและแปรสภาพเป็นวุ้นที่มีความเหนียว ยืดหยุ่นตัวมากกว่า ไขมันปกติซึ่งจะแทรกตัวเบียดอยู่ระหว่างช่องว่างของเนื้อเยื่อ ทำให้ผิวด้านบนแลดูเป็นคลื่น ลอนคล้ายเปลือกส้ม และกดทับเส้นประสาทต่างๆ ทำให้เกิดอาการเจ็บหรือเป็นจ้ำง่าย เมื่อกดผิว

การแก้ไขปัญหา จะต้องกระทำควบคู่กันไปทั้งสองอย่าง ซึ่งในปัจจุบัน พบว่าคุณค่าของเปลือกถั่วเหลืองที่ทำงานกับน้ำมันสกัดจากโรสแมรี่และลาเวนเดอร์ ในการนำพาส่วน ผสมเข้าบำรุงลึกถึงชั้นใน นอกจากนี้คุณค่าของชาเขียว เรดไวน์ ก็ช่วยในการปรับสภาพผิวเรียบ และน้ำมันสกัดจากจมูกข้าว ช่วยบำรุงผิวให้นุ่มนวล อย่างไรก็ตาม หากคิดจะขจัดเซลลูไลท์ให้ ได้ผลดียิ่งขึ้นควรหมั่นออกกำลังกาย และเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พร้อมดื่มน้ำให้ มากๆ หรือพบแพทย์ที่คลินกหากต้องการกำจัดเซลลูไลท์ด้วยวิธีทางการแพทย์เพื่อให้เกิดประโยชน์ รวดเร็ว และปลอดภัยค่ะ


ที่มา www.panclinic.com

วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ผิวมันมาก สิวหัวหนองสิวอักเสบ


มีคนถามเข้ามาว่า "ผิวมันมาก เป็นสิวหัวหนอง สิวอักเสบ ใช้ยามาอย่างโชคโชนไม่หายคับ มีแผลเป็นแดงๆด้วย ควรใช้อะไรดี"


สิว นั้น จะต้องดูปัจจัยในการเกิดสิวด้วยค่ะ หากเป็นสิวที่เกิดจากฮอร์โมน จะค่อนข้างหลีกเลี่ยงลำบาก การอยู่ในความดูแลของแพทย์ เพื่อคอยควบคุม ป้องกันไม่ให้ปัญหาสิว เกิดรุนแรงขึ้น จึงเป็นวิธีที่ดีกว่า จะไปซื้อผลิตภัณฑ์ใช้เอง หากพ้นช่วงวัยรุ่นไปแล้วเกิดสิวขึ้น ก็ต้องดูปัจจัยกระตุ้นอื่นๆ เช่น


- สารเคมี เช่น สบู่ โฟมล้างหน้า ครีมบำรุงผิวบางชนิด ซึ่งอาจมีสารเคมีจำพวกสารสเตียรอยด์ไปกระตุ้นให้เกิดคอมีโดนได้
- การรบกวนผิว เช่น การล้างหน้าบ่อย ๆ การขัดถูหน้าแรง ๆ การนวดขัดหน้า การบีบ แกะ สิว
- ความร้อนและรังสีจากแสงแดด

ซึ่ง หากพบแพทย์ก็จะได้แก้ไขปัญหาที่สาเหตุได้ โดยส่วนใหญ่ เมื่อเป็นสิวแล้ว แพทย์จะพยายามลดการอักเสบให้เร็วที่สุด เพื่อลดโอกาสที่จะเกิดรอยแผลเป็น และละลายการอุดตันเพื่อป้องกันไม่ให้สิวอุดตันกลายเป็นสิวอักเสบ อาจโดยให้ยารับประทาน ในกรณีที่มีสิวอุดตันจำนวนมากและการใช้ยาทาละลาย การอุดตัน และยาทาลดการอักเสบร่วมกับการกดสิวและ การทำ Treatment สำหรับสิว ซึ่ง ก็ต้องดูตามปัญหาและความรุนแรงของสิวค่ะ นอกจากการรักษาสิวแล้ว ยังต้องป้องกันการเกิดสิวใหม่ โดยการใช้ยาทาละลายการอุดตันสิว และยาทาลดการอักเสบเป็นสิวง่าย และรักษาข้อแทรกซ้อนจากสิว เช่น แผลเป็นและรอยดำจากสิวอักเสบ

แต่ หากไม่สะดวกและไม่มีเวลา อาจใช้ผลิตภัณฑ์ในการรักษาสิว ที่มีฤทธิ์ในการช่วยละลายการอุดตันบริเวณต่อมไขมัน ทำให้ ก้อนสิวอ่อนตัวหลุดออกง่าย เช่น ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเบนซอยด์เปอร์ออกไซด์ วิตามิน A และ ผลิตภัณฑ์ แต้มสิวอักเสบจะช่วยลดการอับเสบและช่วยบรรเทาอาการปวดนอกจากนั้นยังสามารถ ใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิว เพื่อป้องกันการเกิดสิวใหม่ได้อีกในคนที่มีโอกาสเกิดสิวง่าย และขอแนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยรักษาสิวอย่างสม่ำเสมอ ทั้งการละลายการอุดตันของสิวและการป้องกันการอักเสบของสิว และเมื่อรักษาสิวหายแล้ว ก็ควรใช้ผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นการป้องกันการเกิดสิวใหม่ รวมทั้งควรหลีกเลี่ยงการรบกวนผิว เช่น เวลาเช็ดหน้าไม่ควรเช็ดถูแรงๆ ให้ใช้วิธีซับหน้าเบาๆ เพราะการเช็ดหน้าแรงๆ จะไปกระตุ้นการเกิดสิวได้ค่ะ

ข้อมูลจาก www.panclinic.com

วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2553

สิวเสี้ยน


เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยมาก ตั้งแต่วัยรุ่น จนถึงวัยกลางคน เป็นความผิดปกติของต่อมรูขน (pilosebaceous follicles) โดยมีลักษณะคล้ายสิวอุดตันหัวดำ (Black comedone) แต่จะมีกระจุกเซลล์ขน (vellous telogen hair) แทรกอยู่ด้วย มีลักษณะเป็นจุดดำๆ หรือมีหนามแหลมๆ ยื่นออกมาทางขุมขนบริเวณจมูก หน้าผาก หรือข้างแก้มหรือเรียกว่าบริเวณ T-zone จริงแล้วไม่มีอันตรายแต่อย่างใด และไม่มีความสัมพันธ์กับโรคอื่น แต่หากเป็นปัญหาในด้านความสวยงาม



การแก้ไข ต้องควบคู่กับการป้องกัน เพราะรูขุมขนที่กว้าง ง่ายต่อการหมักหมมของสิ่งสกปรกและจุลินทรีย์ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดรูขุมขนกว้าง และการรบกวนรูขุมขน เช่น การนวดหน้า การขัดหน้า การเช็ดถูหน้าแรงๆ สิวเสี้ยนเกิดได้อย่างไร กลไกการเกิดของสิวเสี้ยน ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่เชื่อว่าเกิดจากการสร้างเซลล์ขนในระยะ Vellous telogen hair มากกว่าปกติ มักจะเกิดบริเวณที่มีต่อมไขมันมาก โดยจะเริ่มจาก มีการอุดตันเกิดขึ้นที่ท่อต่อมไขมันและไขมันที่ถูกสร้างขึ้น จะรวมตัวกับเซลล์ชั้นขี้ไคลจากผนังท่อ กลายเป็นก้อนที่เรียกว่า Comedone (คอมีโดน) ต่อมาจะมีเซลล์ขนที่เกิดมากกว่าปกตินี้มาพอกสะสมกับเป็นก้อนคุดอยู่ข้างใน เรียกว่า ในรูขุมขนแทนที่จะมีขนเพียง 1 เส้น แต่กลับมีขนเส้นเล็กๆ 3-4 เส้น อัดกันแน่น รวมตัวกับเซลล์ชั้นขี้ไคล เกิดการอุดตัน และทำให้หลุดออกได้ยากกว่าปกติ ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดสิวเสี้ยน ฮอร์โมนเพศในร่างกาย ซึ่งมีผลกระตุ้นต่อมไขมัน ให้ทำงานมากขึ้น ผลิตไขมันออกมามาก ส่งเสริมให้เกิดการอุดตันได้ง่ายขึ้น • การรบกวนผิวมากๆ เช่น การเช็ดถูหน้าแรงๆ การขัดหรือนวดหน้า ซึ่งการกระทำเช่นนี้จะรบกวนรูขุมขน หรือต่อมไขมัน ทำให้รูรากขนนั้นแตก ขนจึงมีสิทธิ์ที่จะคุดอยู่ข้างในได้เพิ่มมากขึ้น กลายเป็นหนามแหลมๆทั้งใบหน้าได้
การกำจัดสิวเสี้ยน
  • กรดวิตามินเอ ที่มีบทบาทมากในการรักษาสิวเสี้ยน คือ ซึ่งมีคุณสมบัติในการเข้าไปละลายการอุดตันของต่อมไขมัน มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียสิว P.acne จึงป้องกันและทำให้สิวเสี้ยนหลุดออกได้ง่าย อาจจะใช้ในรูปของยาทา หรือทำไอออนโตด้วยกรดวิตามินเอ แต่มีข้อควรระวังก็คือ เนื่องจาก กรดวิตามินเอ มีการระคายเคืองได้ง่าย จึงมีแนวโน้มที่จะทำให้ผิวแห้ง ผิวลอก หน้าแดงได้ จึงควรทากรดวิตามินเอเฉพาะบริเวณจมูก หน้าผาก หรือคางที่มีสิวเสี้ยน แล้วทิ้งไว้ 5-10 นาที หรืออาจทิ้งไว้นานกว่านี้ได้ถ้าไม่มีอาการดังกล่าว บางครั้งอาจจะผสม ไลโบโซม ซึ่งลดการระคายเคืองของกรดวิตามินเอ ทำให้สามารถทาทิ้งไว้ทั้งคืนได้ สะดวกในการใช้มากขึ้น
  • กรดวิตามินเอ Chemical Peeling เป็นแนวทางการรักษาอีกวิธีหนึ่งกรณีที่ไม่สามารถทำให้หลุดได้หมด โดยใช้สารเคมีพิเศษ เช่น TCA, AHA, BHA เพื่อลอกผิวหน้า เปิดรูขุมขนหรือรูสิวเสี้ยน เพื่อง่ายต่อการกดออก หรือดึงออกด้วยครีมคีบสิวเสี้ยน
  • แผ่นแปะจมูก Scottape technique โดยอาจจะอยู่ในรูปของแผ่นแปะจมูกที่เคลือบสารที่ทำให้ติดแน่น แปะที่จมูกและทิ้งไว้ระยะหนึ่ง แล้วค่อยดึงออก หรือ ใช้สาร Cyanoacrylate polymer glue ซึ่งมีคุณสมบัติในการติดแน่น คล้ายคลึงกับกาวตราช้าง(ซึ่งมีส่วนประกอบของสารคล้ายคลึงกัน) ใช้ทาบน slide แล้วนำไปวางบริเวณสิวเสี้ยน แล้วดึงออก สิวเสี้ยนจะหลุดติดออกมา แต่ก็มีข้อจำกัด คืออาจจะทำให้แพ้สารเคมีนี้ได้ และกำจัดสิวเสี้ยนได้ไม่หมด และไม่สามารถกำจัดสิวเสี้ยนได้ทุกที่
  • การกำจัดสิวเสี้ยนด้วย Laser พบว่าหลังทำจุดดำๆ จากสิวเสี้ยนลดลงได้เกือบหมด แต่ไม่ช่วยในเรื่องรูขุมขนที่กว้าง ที่อาจจะทำให้เกิดสิวเสี้ยนได้อีก มีผลข้างเคียงหลังทำเพียง รอยแดงบริเวณรูขุมขนหลังทำ 2-3 วันก็หายดี การกำจัดสิวเสี้ยนด้วยเครื่อง IPL (intense pulse light) โดยอาศัยหลักการที่สิวเสี้ยน คือ กระจุกขนที่อัดแน่นบริเวณรูขุมขน ดังนั้นการ apply การกำจัดขนด้วยเครื่อง IPL จึงสามารถทำให้ขนที่คุดคู้นี้หลุดลอกออกได้ โดยเมื่อทำควบคู่กับการทำ Peeling และการทาครีมลอกสิวเสี้ยนที่ผสมวิตามินเอ และช่วยป้องกันการเกิดเซลล์ขนใหม่ในบริเวณดังกล่าวด้วย ซึ่งจากประสบการณ์ของผู้เขียนเอง ได้ผลดีมาก ไม่พบผลข้างเคียง และสามารถทำได้ทุกจุดของร่างกาย การทายารักษาสิวเสี้ยน การทายาที่มีคุณสมบัติขจัดการอุดตัน หรือทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ผิวบริเวณรูขุมขน ยาที่ใช้จะอยู่ในกลุ่มของกรดวิตามินเอ จำพวก ทริตินอล ( Trrtinol) หรือ เรตินเอ (Retin A ) ซึ่งนอกจากช่วยลดริ้วรอยแล้ว ยังช่วยขจัดสิวเสี้ยนได้ด้วย แต่อย่างไรก็ตาม การใช้สารในกลุ่มวิตามินเอ ควรปรึกษาแพทย์ เพราะอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองแก่ผิวได้ และหากจะให้ผลจริง ๆ ก็มักใช้เวลาราว 2-3 เดือน

วันพุธที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2553

สิวเม็ดข้าวสาร (Milia)
เป็นสิวที่พบได้คนทุกวัยรวมถึงเด็กทารกด้วย จะมีลักษณะเป็นตุ่มนูนบนผิว มีสีขาวหรือสีเนื้อ ส่วนใหญ่จะขึ้นที่บริเวณโหนกแก้ม จมูก รอบดวงตา อาการนี้เกิดจากการรวมตัวของเซลล์ผิวที่ตายแล้วและที่ไม่ยอมหลุดออกไปตามธรรมชาติ รวมตัวกับไขมันที่ต่อมไขมันปล่อยออกมาบนผิวหน้า

สาเหตุของการเกิด Milia

1. การใช้เครื่องสำอางที่หนา หนัก หรือผลิตภัณฑ์ที่ได้คุณภาพ หรือไม่เหมาะกับผิว ทำเให้ซลล์ผิวที่ตายแล้วหลุดออกไปไม่ได้
2. การตากแดดมากเกินไป มีผลทำให้ผิวหนาขึ้น ทำให้กระบวนการผลัดผิวเป็นไปได้ยาก
ปกติแล้วอาการ Milia ในเด็กทารกนั้นจะหายไปได้เองภายในสัปดาห์แรกๆ ของการคลอด แต่ในผู้ใหญ่แล้ว ปัญหานี้อาจกินเวลายาวนานหรืออาจเป็นไปเรื่อยๆ ไม่สิ้นสุด การรักษาก็สามารถช่วยบรรเทาให้ผิวดูดีขึ้นได้บ้าง


วิธีการรักษา
1. ในเด็กๆ นั้นไม่มีความจำเป็นต้องรักษาโดยทางการแพทย์ เพราะจะสามารถหายไปได้เอง ภายในไม่กี่สัปดาห์ โดยไม่ทิ้งรอยแผลใดๆ
2. ในผู้ใหญ่นั้นจะกำจัดตุ่มขาวนี้ออกไปได้ด้วยการกดออก 3. หากว่าเป็นผู้ที่มีแนวโน้มว่าจะเป็น Milia ก็ควรที่จะใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวที่มีส่วนผสมของ AHA เป็นประจำ หรือใช้การลอกผิวหน้าที่ทำการตามคลินิกโดยใช้ AHA ความที่มีเข้มข้นสูง ก็สามารถช่วยกำจัดเ
ซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกได้ และยังช่วยทำความสะอาดรูขุมขน
วิธีการป้องกัน Milia
1. วิธีการป้องกันการเกิด Milia ที่ดีที่สุดคือการหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีสารที่อุดตันและหลีกเลี่ยง การเผชิญแสงแดด
2.เพื่อเป็นการลดจำนวนการเกิด Milia รอบดวงตา ควรใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงรอบดวงตาที่ไม่มีส่วนผสมที่ทำให้เกิดการระคายเคืองผิวรอบดวงตา ควรสัมผัสรอบดวงตาด้วยความเบามือและหลีกเลี่ยงการถู หรือขยี้ตา ซึ่งเป็นการทำลายผิวรอบดวงตา
3. ใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดที่ไม่มีส่วนประกอบของน้ำหอม เพราะอาจทำให้ระคายเคืองผิว ควรเลือก ซื้อผลิตภัณฑ์กันแดดชนิดที่เป็นPhysicalซึ่งมีส่วนประกอบหลักเป็น Titanium oxide หรือ Zinc oxide

Panclinic Club's Fan Box

Panclinic Club on Facebook