วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ผิวมันมาก สิวหัวหนองสิวอักเสบ


มีคนถามเข้ามาว่า "ผิวมันมาก เป็นสิวหัวหนอง สิวอักเสบ ใช้ยามาอย่างโชคโชนไม่หายคับ มีแผลเป็นแดงๆด้วย ควรใช้อะไรดี"


สิว นั้น จะต้องดูปัจจัยในการเกิดสิวด้วยค่ะ หากเป็นสิวที่เกิดจากฮอร์โมน จะค่อนข้างหลีกเลี่ยงลำบาก การอยู่ในความดูแลของแพทย์ เพื่อคอยควบคุม ป้องกันไม่ให้ปัญหาสิว เกิดรุนแรงขึ้น จึงเป็นวิธีที่ดีกว่า จะไปซื้อผลิตภัณฑ์ใช้เอง หากพ้นช่วงวัยรุ่นไปแล้วเกิดสิวขึ้น ก็ต้องดูปัจจัยกระตุ้นอื่นๆ เช่น


- สารเคมี เช่น สบู่ โฟมล้างหน้า ครีมบำรุงผิวบางชนิด ซึ่งอาจมีสารเคมีจำพวกสารสเตียรอยด์ไปกระตุ้นให้เกิดคอมีโดนได้
- การรบกวนผิว เช่น การล้างหน้าบ่อย ๆ การขัดถูหน้าแรง ๆ การนวดขัดหน้า การบีบ แกะ สิว
- ความร้อนและรังสีจากแสงแดด

ซึ่ง หากพบแพทย์ก็จะได้แก้ไขปัญหาที่สาเหตุได้ โดยส่วนใหญ่ เมื่อเป็นสิวแล้ว แพทย์จะพยายามลดการอักเสบให้เร็วที่สุด เพื่อลดโอกาสที่จะเกิดรอยแผลเป็น และละลายการอุดตันเพื่อป้องกันไม่ให้สิวอุดตันกลายเป็นสิวอักเสบ อาจโดยให้ยารับประทาน ในกรณีที่มีสิวอุดตันจำนวนมากและการใช้ยาทาละลาย การอุดตัน และยาทาลดการอักเสบร่วมกับการกดสิวและ การทำ Treatment สำหรับสิว ซึ่ง ก็ต้องดูตามปัญหาและความรุนแรงของสิวค่ะ นอกจากการรักษาสิวแล้ว ยังต้องป้องกันการเกิดสิวใหม่ โดยการใช้ยาทาละลายการอุดตันสิว และยาทาลดการอักเสบเป็นสิวง่าย และรักษาข้อแทรกซ้อนจากสิว เช่น แผลเป็นและรอยดำจากสิวอักเสบ

แต่ หากไม่สะดวกและไม่มีเวลา อาจใช้ผลิตภัณฑ์ในการรักษาสิว ที่มีฤทธิ์ในการช่วยละลายการอุดตันบริเวณต่อมไขมัน ทำให้ ก้อนสิวอ่อนตัวหลุดออกง่าย เช่น ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเบนซอยด์เปอร์ออกไซด์ วิตามิน A และ ผลิตภัณฑ์ แต้มสิวอักเสบจะช่วยลดการอับเสบและช่วยบรรเทาอาการปวดนอกจากนั้นยังสามารถ ใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิว เพื่อป้องกันการเกิดสิวใหม่ได้อีกในคนที่มีโอกาสเกิดสิวง่าย และขอแนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยรักษาสิวอย่างสม่ำเสมอ ทั้งการละลายการอุดตันของสิวและการป้องกันการอักเสบของสิว และเมื่อรักษาสิวหายแล้ว ก็ควรใช้ผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นการป้องกันการเกิดสิวใหม่ รวมทั้งควรหลีกเลี่ยงการรบกวนผิว เช่น เวลาเช็ดหน้าไม่ควรเช็ดถูแรงๆ ให้ใช้วิธีซับหน้าเบาๆ เพราะการเช็ดหน้าแรงๆ จะไปกระตุ้นการเกิดสิวได้ค่ะ

ข้อมูลจาก www.panclinic.com

วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2553

สิวเสี้ยน


เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยมาก ตั้งแต่วัยรุ่น จนถึงวัยกลางคน เป็นความผิดปกติของต่อมรูขน (pilosebaceous follicles) โดยมีลักษณะคล้ายสิวอุดตันหัวดำ (Black comedone) แต่จะมีกระจุกเซลล์ขน (vellous telogen hair) แทรกอยู่ด้วย มีลักษณะเป็นจุดดำๆ หรือมีหนามแหลมๆ ยื่นออกมาทางขุมขนบริเวณจมูก หน้าผาก หรือข้างแก้มหรือเรียกว่าบริเวณ T-zone จริงแล้วไม่มีอันตรายแต่อย่างใด และไม่มีความสัมพันธ์กับโรคอื่น แต่หากเป็นปัญหาในด้านความสวยงาม



การแก้ไข ต้องควบคู่กับการป้องกัน เพราะรูขุมขนที่กว้าง ง่ายต่อการหมักหมมของสิ่งสกปรกและจุลินทรีย์ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดรูขุมขนกว้าง และการรบกวนรูขุมขน เช่น การนวดหน้า การขัดหน้า การเช็ดถูหน้าแรงๆ สิวเสี้ยนเกิดได้อย่างไร กลไกการเกิดของสิวเสี้ยน ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่เชื่อว่าเกิดจากการสร้างเซลล์ขนในระยะ Vellous telogen hair มากกว่าปกติ มักจะเกิดบริเวณที่มีต่อมไขมันมาก โดยจะเริ่มจาก มีการอุดตันเกิดขึ้นที่ท่อต่อมไขมันและไขมันที่ถูกสร้างขึ้น จะรวมตัวกับเซลล์ชั้นขี้ไคลจากผนังท่อ กลายเป็นก้อนที่เรียกว่า Comedone (คอมีโดน) ต่อมาจะมีเซลล์ขนที่เกิดมากกว่าปกตินี้มาพอกสะสมกับเป็นก้อนคุดอยู่ข้างใน เรียกว่า ในรูขุมขนแทนที่จะมีขนเพียง 1 เส้น แต่กลับมีขนเส้นเล็กๆ 3-4 เส้น อัดกันแน่น รวมตัวกับเซลล์ชั้นขี้ไคล เกิดการอุดตัน และทำให้หลุดออกได้ยากกว่าปกติ ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดสิวเสี้ยน ฮอร์โมนเพศในร่างกาย ซึ่งมีผลกระตุ้นต่อมไขมัน ให้ทำงานมากขึ้น ผลิตไขมันออกมามาก ส่งเสริมให้เกิดการอุดตันได้ง่ายขึ้น • การรบกวนผิวมากๆ เช่น การเช็ดถูหน้าแรงๆ การขัดหรือนวดหน้า ซึ่งการกระทำเช่นนี้จะรบกวนรูขุมขน หรือต่อมไขมัน ทำให้รูรากขนนั้นแตก ขนจึงมีสิทธิ์ที่จะคุดอยู่ข้างในได้เพิ่มมากขึ้น กลายเป็นหนามแหลมๆทั้งใบหน้าได้
การกำจัดสิวเสี้ยน
  • กรดวิตามินเอ ที่มีบทบาทมากในการรักษาสิวเสี้ยน คือ ซึ่งมีคุณสมบัติในการเข้าไปละลายการอุดตันของต่อมไขมัน มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียสิว P.acne จึงป้องกันและทำให้สิวเสี้ยนหลุดออกได้ง่าย อาจจะใช้ในรูปของยาทา หรือทำไอออนโตด้วยกรดวิตามินเอ แต่มีข้อควรระวังก็คือ เนื่องจาก กรดวิตามินเอ มีการระคายเคืองได้ง่าย จึงมีแนวโน้มที่จะทำให้ผิวแห้ง ผิวลอก หน้าแดงได้ จึงควรทากรดวิตามินเอเฉพาะบริเวณจมูก หน้าผาก หรือคางที่มีสิวเสี้ยน แล้วทิ้งไว้ 5-10 นาที หรืออาจทิ้งไว้นานกว่านี้ได้ถ้าไม่มีอาการดังกล่าว บางครั้งอาจจะผสม ไลโบโซม ซึ่งลดการระคายเคืองของกรดวิตามินเอ ทำให้สามารถทาทิ้งไว้ทั้งคืนได้ สะดวกในการใช้มากขึ้น
  • กรดวิตามินเอ Chemical Peeling เป็นแนวทางการรักษาอีกวิธีหนึ่งกรณีที่ไม่สามารถทำให้หลุดได้หมด โดยใช้สารเคมีพิเศษ เช่น TCA, AHA, BHA เพื่อลอกผิวหน้า เปิดรูขุมขนหรือรูสิวเสี้ยน เพื่อง่ายต่อการกดออก หรือดึงออกด้วยครีมคีบสิวเสี้ยน
  • แผ่นแปะจมูก Scottape technique โดยอาจจะอยู่ในรูปของแผ่นแปะจมูกที่เคลือบสารที่ทำให้ติดแน่น แปะที่จมูกและทิ้งไว้ระยะหนึ่ง แล้วค่อยดึงออก หรือ ใช้สาร Cyanoacrylate polymer glue ซึ่งมีคุณสมบัติในการติดแน่น คล้ายคลึงกับกาวตราช้าง(ซึ่งมีส่วนประกอบของสารคล้ายคลึงกัน) ใช้ทาบน slide แล้วนำไปวางบริเวณสิวเสี้ยน แล้วดึงออก สิวเสี้ยนจะหลุดติดออกมา แต่ก็มีข้อจำกัด คืออาจจะทำให้แพ้สารเคมีนี้ได้ และกำจัดสิวเสี้ยนได้ไม่หมด และไม่สามารถกำจัดสิวเสี้ยนได้ทุกที่
  • การกำจัดสิวเสี้ยนด้วย Laser พบว่าหลังทำจุดดำๆ จากสิวเสี้ยนลดลงได้เกือบหมด แต่ไม่ช่วยในเรื่องรูขุมขนที่กว้าง ที่อาจจะทำให้เกิดสิวเสี้ยนได้อีก มีผลข้างเคียงหลังทำเพียง รอยแดงบริเวณรูขุมขนหลังทำ 2-3 วันก็หายดี การกำจัดสิวเสี้ยนด้วยเครื่อง IPL (intense pulse light) โดยอาศัยหลักการที่สิวเสี้ยน คือ กระจุกขนที่อัดแน่นบริเวณรูขุมขน ดังนั้นการ apply การกำจัดขนด้วยเครื่อง IPL จึงสามารถทำให้ขนที่คุดคู้นี้หลุดลอกออกได้ โดยเมื่อทำควบคู่กับการทำ Peeling และการทาครีมลอกสิวเสี้ยนที่ผสมวิตามินเอ และช่วยป้องกันการเกิดเซลล์ขนใหม่ในบริเวณดังกล่าวด้วย ซึ่งจากประสบการณ์ของผู้เขียนเอง ได้ผลดีมาก ไม่พบผลข้างเคียง และสามารถทำได้ทุกจุดของร่างกาย การทายารักษาสิวเสี้ยน การทายาที่มีคุณสมบัติขจัดการอุดตัน หรือทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ผิวบริเวณรูขุมขน ยาที่ใช้จะอยู่ในกลุ่มของกรดวิตามินเอ จำพวก ทริตินอล ( Trrtinol) หรือ เรตินเอ (Retin A ) ซึ่งนอกจากช่วยลดริ้วรอยแล้ว ยังช่วยขจัดสิวเสี้ยนได้ด้วย แต่อย่างไรก็ตาม การใช้สารในกลุ่มวิตามินเอ ควรปรึกษาแพทย์ เพราะอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองแก่ผิวได้ และหากจะให้ผลจริง ๆ ก็มักใช้เวลาราว 2-3 เดือน

วันพุธที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2553

สิวเม็ดข้าวสาร (Milia)
เป็นสิวที่พบได้คนทุกวัยรวมถึงเด็กทารกด้วย จะมีลักษณะเป็นตุ่มนูนบนผิว มีสีขาวหรือสีเนื้อ ส่วนใหญ่จะขึ้นที่บริเวณโหนกแก้ม จมูก รอบดวงตา อาการนี้เกิดจากการรวมตัวของเซลล์ผิวที่ตายแล้วและที่ไม่ยอมหลุดออกไปตามธรรมชาติ รวมตัวกับไขมันที่ต่อมไขมันปล่อยออกมาบนผิวหน้า

สาเหตุของการเกิด Milia

1. การใช้เครื่องสำอางที่หนา หนัก หรือผลิตภัณฑ์ที่ได้คุณภาพ หรือไม่เหมาะกับผิว ทำเให้ซลล์ผิวที่ตายแล้วหลุดออกไปไม่ได้
2. การตากแดดมากเกินไป มีผลทำให้ผิวหนาขึ้น ทำให้กระบวนการผลัดผิวเป็นไปได้ยาก
ปกติแล้วอาการ Milia ในเด็กทารกนั้นจะหายไปได้เองภายในสัปดาห์แรกๆ ของการคลอด แต่ในผู้ใหญ่แล้ว ปัญหานี้อาจกินเวลายาวนานหรืออาจเป็นไปเรื่อยๆ ไม่สิ้นสุด การรักษาก็สามารถช่วยบรรเทาให้ผิวดูดีขึ้นได้บ้าง


วิธีการรักษา
1. ในเด็กๆ นั้นไม่มีความจำเป็นต้องรักษาโดยทางการแพทย์ เพราะจะสามารถหายไปได้เอง ภายในไม่กี่สัปดาห์ โดยไม่ทิ้งรอยแผลใดๆ
2. ในผู้ใหญ่นั้นจะกำจัดตุ่มขาวนี้ออกไปได้ด้วยการกดออก 3. หากว่าเป็นผู้ที่มีแนวโน้มว่าจะเป็น Milia ก็ควรที่จะใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวที่มีส่วนผสมของ AHA เป็นประจำ หรือใช้การลอกผิวหน้าที่ทำการตามคลินิกโดยใช้ AHA ความที่มีเข้มข้นสูง ก็สามารถช่วยกำจัดเ
ซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกได้ และยังช่วยทำความสะอาดรูขุมขน
วิธีการป้องกัน Milia
1. วิธีการป้องกันการเกิด Milia ที่ดีที่สุดคือการหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีสารที่อุดตันและหลีกเลี่ยง การเผชิญแสงแดด
2.เพื่อเป็นการลดจำนวนการเกิด Milia รอบดวงตา ควรใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงรอบดวงตาที่ไม่มีส่วนผสมที่ทำให้เกิดการระคายเคืองผิวรอบดวงตา ควรสัมผัสรอบดวงตาด้วยความเบามือและหลีกเลี่ยงการถู หรือขยี้ตา ซึ่งเป็นการทำลายผิวรอบดวงตา
3. ใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดที่ไม่มีส่วนประกอบของน้ำหอม เพราะอาจทำให้ระคายเคืองผิว ควรเลือก ซื้อผลิตภัณฑ์กันแดดชนิดที่เป็นPhysicalซึ่งมีส่วนประกอบหลักเป็น Titanium oxide หรือ Zinc oxide

วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2553

สะกิดสิวคืออะไรค่ะ

การสะกิดสิวส่วนใหญ่แล้วจะเลือกสะกิด เช่น สิวข้าวสาร หรือ สิวหัวดำหรือสิวอุดตันที่หัวเปิดแล้วเท่านั้นและทำโดยแพทย์หรือผู้ที่มีความชำนาญ หลังจากสะกิดสิวแล้วอาจจะมีแผลตกสะเก็ดเกิดขึ้นได้ซึ่งถ้าสะเก็ดหลุดเร็วเกินไปอาจจะทำให้เกิดรอยแดงขึ้นมา โดยปกติก็จะค่อยๆ หายไปเอง การสะกิดสิวเป็นการเสริมการรักษา ทำให้สิวอุดตันหายได้เร็วขึ้น ซึ่งจะลดโอกาสการเกิดสิวอักเสบด้วยค่ะ การให้บริการสามารถสอบถามได้ที่แพนคลินิกค่ะ

เป็นแผลหลุมสิวจะรักษายังงัย

รื่องการรักษาแผลเป็นจากหลุมสิว มีหลายวิธีค่ะ ที่แพน คลินิก จะเน้นให้เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ
และปลอดภัยกับลูกค้ามากที่สุดค่ะ แต่วิธีการรักษาแผลเป็นจากหลุมสิวนั้น จะพิจารณาจากอายุของ
หลุมแผลเป็นก่อน ถ้าเป็นแผลใหม่ๆ อาจใช้น้ำยากระตุ้นให้มีการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ เช่น TCA, กรดวิตามิน A หรือ AHA ค่ะ แต่ถ้าเป็นหลุมแผลเป็นเก่า เราจะพิจารณาตามรูปร่างลักษณะของหลุมแผลค่ะ
หากเป็นแผลเป็นหลุมเล็กๆ รักษาได้ไม่ยากค่ะ แต่ถ้าเป็นหลุมแผลเป็นสิวที่ค่อนข้างมากและลึก แนะนำให้ ปรึกษาแพทย์ที่แพนคลินิก เพื่อหาวิธีรักษาที่เหมาะสมกับหลุมแผลจะดีกว่าค่ะ ส่วนราคาค่ารักษานั้น ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของปัญหาและวิธีที่แพทย์เลือกใช้เพื่อให้เหมาะกับปัญหาหลุมแผลเป็นนั้นๆ ด้วย สามารถขอคำปรึกษาได้ที่ แพน คลินิก


สิวแท้ สิวเทียม ต่างกันอย่างไร


จริงแล้ว สิวมี 2 ชนิด คือ สิวแท้ และสิวเทียม

สิวแท้(Acne) คือ เม็ดนูนที่เกิดจากคอมีโดน ซึ่งเป็นก้อนสิ่งสกปรกที่สะสมอยู่ในรูขุมขนใต้ผิวหนัง
ก้อนคอมีโดน เกิดจากการรวมตัวของไขมัน กับเซลล์ชั้นขี้ไคล จากผนังท่อต่อมไขมัน จนเกิดการอุดตัน
ขึ้นบริเวณท่อต่อมไขมัน ซึ่งพบมากที่สุดบริเวณใบหน้า รองลงมา คือ บริเวณหลัง, หน้าอกและไหล่

สิวแท้ แบ่งออกได้ 2 ชนิดคือ
1.1 สิวไม่อักเส คือ
- สิวหัวปิด หรือสิวหัวขาว
- สิวหัวเปิด หรือสิวหัวดำ
1.2 สิวอักเสบ มีหลายลักษณะ เช่น ตุ่มแดง , ตุ่มหนอง , ก้อนบวมแดงใต้ผิวหนัง หรือถุงหนอง

สิวเทียม (Acne aestivale) คือ เป็นสิวประเภทหนึ่งบางครั้งเรียกว่า สิวผด คือ สิวที่มีลักษณะ
เป็นเม็ดนูนเล็ก ๆคล้ายผด สีเหมือนผิวหนังลูบแล้วสากมือ เกิดจากการที่เซลล์ผิวหนังมีการแบ่งตัวและลอกตัวผิดปกติ มักชอบขึ้นตามหน้าผาก จมูกและคาง หรือพูดง่าย ๆ ก็คือแถว T-ZONE นั่นเอง ช่วงตอนเช้าสิวเทียมจะยุบแต่ตอนสายหรืออากาศร้อน ๆ สิวเทียมจะเห่อมากขึ้น

Panclinic Club's Fan Box

Panclinic Club on Facebook