วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ผิวหน้า ถือเป็นเรื่องที่ละเลยไม่ได้ทีเดียว

ความสวยและผิวที่อ่อนเยาว์ ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนปรารถนาอยากจะเป็นเจ้าของด้วยกันทั้งนั้น สาว ๆ ทุกคนจึงต้องพยายามดูแลผิวตัวเองให้ดีที่สุด โดยเฉพาะผิวหน้า ถือเป็นเรื่องที่ละเลยไม่ได้เลยทีเดียว แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น ก็ยังมีสาว ๆ ไม่น้อยที่ดูแลผิวไปพร้อม ๆ กับการทำร้ายผิวตัวเองโดยไม่รู้ตัว ซึ่งหากจะพินิจพิจารณากันจริง ๆ แล้ว จะเห็นว่ามีพฤติกรรมเพียงไม่กี่อย่างที่สาว ๆ มักจะละเลย และมันส่งผลให้คุณดูแก่ก่อนวัยไปอย่า งไม่ได้ตั้งใจเลยทีเดียว ซึ่งจะมีอะไรบ้างนั้น ไปดูกันเลยค่ะ

1. ขัดหน้าแรงเกินไป การขัดหน้าในที่นี้ รวมถึงการใช้สครับขัดหน้า ที่คุณอาจคิดไม่ถึงว่ามันทำร้ายผิวหน้าคุณด้วย ดังนั้น หากคุณขัดหน้าแรงหรือบ่อยเกินไป มันก็จะทำให้หน้าคุณแก่ขึ้นโดยไม่รู้ตัว การขัดหน้าที่พอเหมาะพอดีที่สุด อยู่ที่ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ค่ะ

2. ใช้มอยซ์เจอไรเซอร์มากเกินไป มอยซ์เจอไรเซอร์ แม้จะดีต่อผิวในเรื่องการทำให้ใบหน้าชุ่มชื้นก็จริง แต่การใช้มอยซ์เจอไรเซอร์มากเกินไปก็ทำให้เกิดปัญหาผิวได้ไม่น้อย เพราะใบหน้าที่ชุ่มชื้นมากเกินไปอาจก่อให้เกิดความมันบนใบหน้า ที่มันจะอุดตันรูขุมขน ดังนั้น สาว ๆ ควรใช้มอยซ์เจอไรเซอร์อย่างพอเหมาะ เพราะโดยปกติแล้ว ผิวหน้าของคนเราจะผลิตน้ำมันออกมาให้ความชุ่มชื้นตามธรรมชาติอยู่แล้ว สาว ๆ จึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้มอยซ์เจอไรเซอร์มากเกินไป ทั้งใช้ในปริมาณมากเกินไป และใช้บ่อยเกินไปด้วย

3. บีบสิว สาว ๆ ส่วนใหญ่รู้ดีว่าพฤติกรรมการบีบสิว ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรเลย กลับกัน กลับทำให้ใบหน้าของเรามีแผลเป็นจากการบีบสิว แต่หลายครั้งสาว ๆ ก็ยังคงแอบบีบสิวอยู่เป็นประจำ ซึ่งนั่นจะทำให้หน้าคุณไม่สวยใส และแก่ก่อนวัยอันควรในที่สุดค่ะ

รู้อย่างนี้แล้ว สาว ๆ จึงควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมยอดนิยมทั้ง 3 อย่างข้างต้นนี้นะคะ ทั้งนี้ ก็เพื่อสุขภาพผิวหน้าที่สดใส อ่อนเยาว์ และสุขภาพดีตลอดไปค่ะ






ที่มา : http://www.panclinic.com




วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2554

หนาวนี้เตรียมรับมือ ไข้หวัด

ใครๆ ก็รู้ว่าอาการเป็นหวัดเป็นอย่างไร แต่จะทราบหรือไม่ว่าไวรัสที่ทำให้คนเราเป็นหวัดนั้นมีอยู่ มากกว่า 200 ชนิดที่แตกต่างกัน นั่นล่ะจึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ที่ว่าเหตุใดเราจึงเป็นหวัดหลายครั้งในหนึ่งปี

ดร.ทริชา แมคแนร์ เขียนไว้ในเว็บไซต์
www.bbc.co.uk/health บอกว่า ในผู้ใหญ่มักจะติดเชื้อหวัดกันปีละ 2-3 ครั้ง ส่วนในกลุ่มเด็กจะเป็นมากกว่า ประมาณ 6-8 ครั้ง

การติดเชื้อหวัด นั้นจะเกิดขึ้นเมื่อคนไปสัมผัสเชื้อไวรัสจำนวนหนึ่งแล้วเอามือไปโดนจมูกหรือตาของตัวเองเข้า เจ้าเชื้อไวรัสนั้นก็จะได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่อุ่นชื้น แล้ว มันก็จะโตวันโตคืน กระบวนการติดเชื้อหวัดจะแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วเพียงแค่ 8-12 ชั่วโมง หลังจากไวรัสเข้าสู่ร่างกาย ภายในเวลาประมาณ 10 ชั่วโมงอันเป็นที่ทราบกันดีว่านั่นคือระยะฟักตัว อาการก็จะพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว นั่นหมายถึงว่าเพียงไม่ถึงครึ่งวันหลังจับมือกับคนที่เป็นหวัด คุณก็จะมีอาการไม่พึงปรารถนา ตามมาแล้ว

อาการไข้หวัด จะพุ่งสูงสุดในระยะหลังติดเชื้อ 36-72 ชั่วโมง อาการจะมีตั้งแต่ คันคอ คอแห้ง เจ็บคอ น้ำมูกไหล ไอจาม เสียงแหบแห้ง แน่นจมูก ปวดหัวนิดหน่อย มีไข้อ่อนๆ อาการจะเริ่มดีขึ้นหลัง 3 วัน และหายไปประมาณ 7 วัน แต่บางรายอาจจะอยู่ทนนานไปจนถึง 2 สัปดาห์

การรักษา แม้ว่าจะมีงานวิจัยในหลายทศวรรษที่ผ่านมาบอกว่าไม่มีการรักษาไข้หวัดได้ง่ายๆ ยาปฏิชีวนะที่มีอยู่ก็ไม่ได้มีผลอะไรต่อไวรัส ส่วนเรื่องการกินวิตามินซี เพื่อป้องกันหวัดก็ยังมีข้อขัดแย้งกันอยู่ ล่าสุดจากการทบทวนการศึกษากว่า 30 ชิ้น แสดงว่าในคนที่มีความเครียดมากสามารถลดปัจจัยเสี่ยงในการเป็นหวัดลงได้เมื่อได้รับวิตามินซี แต่ก็มี ผลน้อยมากกับคนที่เป็นหวัดแล้ว






ที่มา : www.panclinic.com


ประโยชน์ของเครื่องทำน้ำอุ่น

ใครที่ชอบอาบน้ำอุ่น จากเครื่องทำอุ่น รู้ไมว่ามีประโยชน์อย่างไรต่อร่างกาย วันนี้เกร็ดความรู้มีประโยชน์ของเครื่องทำน้ำอุ่นมาบอกกัน...




- กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต การอาบน้ำอุ่นเป็นผลดีต่อสุขภาพของผู้อาบ สายน้ำอุ่น ณ อุณหภูมิที่เหมาะสมจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตให้สูบฉีดไปทั่วร่างกาย




- การอาบน้ำอุ่นช่วยทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย และเกิดการตื่นตัว ช่วยรักษาบรรเทาความปวดเมื่อย และความตึงเครียดของกล้ามเนื้อตามร่างกาย




- ปราศจากสิ่งสกปรกอุดตันรูขุมขน การอาบน้ำในอุณหภูมิที่พอเหมาะ จะช่วยรักษาผิวพรรณ ชะล้างไขมันบนผิวหนัง และทำความสะอาดลึกถึงรูขุมขนได้ดีกว่า




เพิ่มความสดชื่น คืนความกระปรี้กระเป่า เพราะสายน้ำอุ่นจะลดประจุบวก และเพิ่มประจุลบรอบข้างในอากาศขณะอาบน้ำช่วยทำให้คุณหายใจได้คล่องขึ้น รู้สึกสดชื่นภายหลังจากอาบน้ำ




รู้อย่างนี้แล้ว หันมาอาบน้ำอุ่นกันดีกว่า เพื่อสุขภาพที่ดี.

ที่มา : http://www.panclinic.com


วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Best Buy Beauty ... Moisturizers

Pan Facial Night Cream ครีมบำรุงผิวช่วงกลางคืน ช่วนในการบำรุงผิวและเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวมากเป็นพิเศษ เนื้อครีมเนียมนุ่ม ไม่เหนียวเหนอะหระ ขนาด 25 กรัม / 175 บาท / 50 กรัม / 455 บาท

Pan Facial Day Cream ครีมบำรุงผิวหน้าช่วงกลางวัน ช่วยให้ผิวเนียนนุ่ม ชุ่มชื้นและดูอ่อนเยาว์ ไม่ทิ้งความมันบนใบหน้า ขนาด 50 กรัม / 295 บาท

Wilma Collagen 2000 มอยเจอร์ไรเซอร์เนื้อเจลสูตรออกซิเจนบริสุทธิที่คอยหล่อเลี้ยงผิวให้เปล่งปลั่ง สดใส ดูมีชีวิตชีวา แลดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ พร้อมเพิ่มความชุ่มชื้นด้วยสารอาหารบำรุงผิวจากธรรมชาติ ขนาด 30 ML / 4,500 บาท

Hydra Dew Moisturizing Day Cream ครีมบำรุงผิวเนื้อนุ่ม บางเบา เกลี่ยง่าย อุดมด้วยคุณค่าสารอาหาร และกรดไขมันจำเป็นต่อผิวที่ให้ความชุ่มชื้น พร้อมรักษาความชุ่มชื้นตามธรรมชาติไว้กับผิวชั้นไขมัน พร้อมชะลอการเกิดริ้วรอย ช่วยลดความตึงเครียดและสร้างเสริมการปกป้องผิวตามธรรมชาติ เพื่อผิวนุ่ม ชุ่มชื้น มีน้ำมีนวลอย่างเห็นได้ชัด ขนาด 59 g /3,200 บาท

Pan Dermacare Moisturizers for dry and Normal Skin ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเพื่อผิวนุ่ม ชุ่มชื้นได้ยาวนานด้วยคุณค่าบำรุงของ wild pansy Nanoherb และ Aloe Vera เนื้อครีมบางเบาโดยไม่ทิ้งความรู้สึกเหนอะหนะไว้บนผิวหน้า ใช้ได้กับทุกสภาพผิว โดยเฉพาะผิวบอบบาง แพ้ง่าย และผู้ที่มีโอกาสแพ้ Nickel ขนาด 30 กรัม / 700 บาท
















ผิวขาดมอยเจอร์ไรเซอร์ทำให้เกิดริ้วรอยได้ง่าย...

ผลการศึกษาเรื่องได้เปิดเผยไว้ใน British Journal of Dermatology ซึ่งระบุว่า หนทางที่จะทำให้ใยหน้าเรียบเนียน ปราศจากริ้วรอย ก็คือการใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ เนื่องจากนักวิทยาศาสตร์ ค้นพบว่าการที่ผิวแห้งจะเป็นสาเหตุที่ไปเร่งให้เกิดริ้วรอยเร็วขึ้นกว่าปกติได้มากกว่า 2 เท่า และยังระบุว่าผู่หญิงที่มีใบหน้าชุ่มชื้น จะเกิดริ้วรอบได้ช้ากว่าผู้หญิ่งที่มีผิวแห้ง เพียงแค่ปกป้องผิวให้ชุ่มชื้นทุกวัน ด้วยการทามอยเจอร์ไรเซอร์และครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพดี ตั้งแต่อายุน้อยๆ ก็จะสามารถหลีกเลี่ยงริ้วรอยเหล่านี้ได้ แต่อย่างไรก็ตามมันก็ยังไม่สายจนเกินไปที่จะเริ่มบำรุงผิวและปกป้องผิวของคุณจากริ้วรอยเสียตั้งแต่วันนี้







ที่มา : http://www.panclinic.com/tips_and_trick.asp?MID=122&CID=3396

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

แนะวิธีช่วยสาว ขาใหญ่ น่องทู่ ขาหมู ให้เรียวสวย

ลดไขมันส่วนเกิน กล้ามเนื้อขากระชับขาใหญ่ น่องทู่ ขาหมู ขาโต๊ะสนุ้ก สารพัดถ้อยคำที่นำมาเปรียบเทียบให้เห็นภาพของขาที่ใหญ่เกินไป ไม่เรียวสวย ก็แล้วเพราะอะไรล่ะคะคุณหมอ ขาหนูถึงไม่สวย? เป็นคำถามยอดฮิตที่คนไข้สาวๆ ชอบถามหมอค่ะ ซึ่งคำตอบก็คือ ไขมันและกล้ามเนื้อค่ะ

ทีนี้ก็ต้องมาดูว่าขาส่วนไหนที่ใหญ่ รบกวนจิตใจเจ้าของขา ถ้าเป็นบริเวณ ต้นขา สาเหตุที่ทำให้ใหญ่มักจะเกิดจากไขมันมาสะสม ซึ่ง พุง หน้าท้อง ก้น ต้นขา ต้นแขน เป็นพื้นที่พำนักพักพิงที่ไขมันชอบมากค่ะ เมื่อไหร่ก็ตามที่ร่างกายเผาผลาญไขมันซึ่งเราบริโภคเข้าไปไม่หมด ไขมันส่วนเกินที่เหลือก็จะมาเกาะติดอยู่กับอวัยวะบริเวณนี้ก่อนที่อื่นๆ

วิธีแก้ไข สามารถใช้วิธีบริหารหรือเอกเซอร์ไซส์เฉพาะส่วนได้ แต่ต้องทำอย่างจริงจังและใช้เวลานานพอสมควร แต่ถ้าไขมันที่สะสมมีจำนวนมาก ก็อาจต้องใช้วิธีละลายไขมันด้วยการผลักยาลงไปใต้ผิว หรือใช้เทคโนโลยีมาช่วยสลายหรือทำให้ไขมันแตกตัว เพื่อให้ร่างกายขจัดออกไปในกระบวนการเผาผลาญตามธรรมชาติ ซึ่งเมื่อกำจัดออกไปแล้ว ก็ต้องป้องกันไขมันใหม่มาสะสม โดยการควบคุมอาหารและออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย ไม่เช่นนั้นไขมันก็จะกลับมาพอกพูนใหม่ได้อีกค่ะ

อีกส่วนหนึ่งของขาที่จะมีขนาดใหญ่ได้ก็คือ น่อง สาเหตุของน่องใหญ่ เกิดได้จากทั้งไขมันและกล้ามเนื้อ ถ้าเป็นไขมัน จับดูก็จะนิ่มๆ หน่อย ก็ต้องกำจัดไขมันด้วยวิธีเดียวกับการกำจัดไขมันต้นขาค่ะ
แต่ถ้าเป็นกล้ามเนื้อ จับดูก็จะแข็งๆ เกิดจากกล้ามเนื้อบริเวณน่องโตผิดปกติ อาจมีสาเหตุมาจากกรรมพันธุ์ หรือเกิดจากการเดินผิดวิธี หรือเกิดจากกล้ามเนื้อบริเวณนั้นถูกใช้งานมาก เช่น วิ่ง เดิน ขี่จักรยาน หรือใส่ส้นสูงเป็นประจำ ก็เลยทำให้กล้ามเนื้อน่องแข็งแรงและมีขนาดใหญ่ขึ้น

วิธีแก้ไข แบบถาวรยังไม่มีค่ะ การฉีดโบท็อกซ์ที่หมอแนะนำไปเมื่อคราวที่แล้ว เป็นวิธีการแก้ไขแบบชั่วคราวที่ปลอดภัย แต่ต้องเลือกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ด้วยนะคะ





ที่มา : www.panclinic.com




วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ผิวสวยท้าลมหนาว

อย่าอาบน้ำร้อนที่ร้อนจัดเกินไป การอาบน้ำร้อนในหน้าหนาวควรปรับอุณหภูมิให้อยู่ในระดับต่ำๆ อย่าให้ร้อนจัดเกินไป เพราะช่วงหน้าหนาวผิวจะแห้งกว่าปกติ ถ้าอาบน้ำร้อนเกินไป ผิวหนังก็จะแห้งมาก อาจทำให้ผิวแตกลอกเป็นขุยและเกิดอาการคันได้

อย่าถูสบู่มากเกินไป
การอาบน้ำในช่วงหน้านี้ไม่ควรถูสบู่มากเกินไป ควรถูเฉพาะบริเวณแขน รักแร้ ขาหนีบ ซอกพับ และหลัง เพราะสบู่จะทำให้ผิวหนังแห้งมากขึ้น และจะเกิดอาการคันได้ง่าย สบู่ที่เหมาะควรเป็นสบู่ที่มีค่า ph ประมาณ 5 เพราะจะไม่ทำให้ผิวหนังแห้งมากจนเกินไป อาจจะเป็นสบู่เด็กหรือสบู่เหลวก็ได้

อย่าอาบน้ำนานเกินไป
สำหรับผู้ที่ชอบการอาบน้ำนานๆ หรือนอนแช่ในอ่างนานๆ แม้จะเป็นการแช่ในอ่างน้ำอุ่นก็ตาม เพราะการอาบน้ำนานเกินไปจะทำให้ผิวหนังแห้งมากขึ้น ควรจะใช้เวลาอาบน้ำไม่เกิน 10 นาที

ทาครีมบำรุงทุกครั้งหลังอาบน้ำ พื่อช่วยลดอาการแห้งของผิวหนัง ทำให้ผิวหนังมีความชุ่มชื้น และจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอาการคันและอาการอักเสบของผิวหนังได้อีกด้วยเพียงเท่านี้คุณจะมีผิวสวยๆ ไว้ไปอวดเพื่อนๆ ให้อิจฉาในหน้าหนาว

ที่มา : panclinic.com




วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2554

ไฟเบอร์กับการลดความอ้วน

ทราบหรือไม่ว่าทานอาหารจำพวกไฟเบอร์แล้วสามารถลดความอ้วนได้ วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาบอกกัน...

ไฟเบอร์ หรือ เส้นใยอาหาร คือ
ส่วนของโครงสร้างของพืช เช่น กิ่ง ก้าน เมล็ด เป็นส่วนที่ร่างกายไม่สามารถย่อยสลายได้มีอีกชื่อหนึ่งว่าเซลลูโลส ซึ่งมี
2 ชนิดคือ ไฟเบอร์ ชนิดที่ละลายน้ำได้ และ ไฟเบอร์ ชนิดที่ไม่ละลายน้ำ

เมื่อรับประทาน
ไฟเบอร์ ซึ่งเป็นสารที่ไม่ให้พลังงานเข้าไปในร่างกาย มันจะเข้าไปแย่งพื้นที่ในระบบทางเดินอาหาร ส่งผลให้เรารู้สึกอิ่มได้เร็วและอิ่มได้นาน ช่วยลดความอยากอาหารลงไป และสามารถลดพลังงานที่จะได้รับจากอาหารได้จึงส่งผลให้ลดน้ำหนักได้


ไฟเบอร์กับการลดความอ้วน

1. ไฟเบอร์ ช่วยให้อาหารเดินทางเร็วขึ้นและมีเวลาอยู่ในระบบทางเดินอาหารสั้นลง จึงช่วยลดการดูดซึม

2. ไฟเบอร์ ไปแย่งพื้นที่ในระบบทางเดินอาหาร ทำให้ลดความอยากอาหารและรับประทานอาหารได้น้อยลง หากใช้ร่วมกับการควบคุมชนิดและปริมาณอาหาร และออกกำลังกายร่วมด้วยจะยิ่งให้ผลดีในการ ลดน้ำหนัก

3. จากหลายๆ การทดลองพบว่าการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มี ไฟเบอร์ อย่างน้อย 2 กรัมขึ้นไปช่วยให้น้ำหนักลดลงได้

ใครที่รู้ตัวว่าอ้วน และอยากลดความอ้วน ลองหันมาทานอาหารจำพวกไฟเบอร์ดูกันดีกว่า













ที่มา : http://www.panclinic.com




วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554

ชี้ 5 วิธีแต่งกายต้องห้ามของคุณผู้ชาย



ชี้ 5 วิธีแต่งกายต้องห้ามของคุณผู้ชาย


ช่วยเพิ่มความดูดี มีสไตล์ พร้อมความมั่นใจ

ใครๆ เคยคิดไหมว่าการแต่งตัวของผู้ชายเราก็มีความสำคัญไม่น้อยกว่าคุณผู้หญิงเหมือนกัน ก็แล้วแต่สไตล์ของตัวเองอาจจะเป็นแบบสบายๆ เสื้อยืดกางเกงยืน หรือถ้าเป็นหนุ่มอ๊อฟฟิตก็แต่งตัวดูหน่อย แต่ไม่ใช่หยิบโน่นผสมนี่แบบนั้นไม่ได้นะคะ อาจทำให้คุณดูไม่ดีและไม่เหมาะสมกับกาลเทศะ

เราจึงมีวิธีการแต่งตัวพร้อมกับวิธีต้องห้ามมาแนะนำให้คุณผู้ชายได้จำไว้เป็นแบบอย่าง เพื่อจะได้รู้ถึงการแต่งการให้เหมาะสม

1. สวมเสื้อเชิ้ตทับเสื้อคอโปโล หรือเสื้อคอเต่า

วิธีการแต่งกายที่เป็นพื้นฐานนั่นคือ การสวมตัวบางไว้ใน ตัวหนาไว้นอก เมื่อคุณสวมเสื้อเชิ้ตทับเสื้อคอโปโล คุณจึงดูแปลกเอาการ บางคนอาจจะนึกเถียงอยู่ในใจเพราะเห็นการแต่งกายอย่างนี้ในภาพยนตร์ เช่น เรื่อง Ice Storm ของอังลี ถึงแม้หนังเรื่องนี้จะออกฉายในปี 1997 แต่ก็เป็นหนังย้อนยุคไปสู่ยุค 70's โน่นแนะครับ ถ้าคุณต้องการจะแต่งสไตล์นี้ ผมแนะนำให้เปลี่ยนจากเชิ้ต เป็นแจ็คเก็ตแทนจะดีกว่าครับ

2. เอาเสื้อสเว็ตเตอร์ผูกไว้บนบ่า

วิธีนี้อาจจะทำให้คุณดูเป็นคนง่าย ๆ สบาย ๆ แต่ถ้าคุณต้องการติดต่อธุรกิจด้วยการแต่งกายเช่นนี้จะ 'เป็นกันเอง'มากเกินไป คุณคงไม่อยากเป็นเด็กหนุ่มเวลาเจรจาธุรกิจหรอกนะครับ ถ้าจะให้ดูดีขึ้น เอาเสื้อสเว็ตเตอร์นั้นผูกไว้เอวดีกว่าครับ

3. ผู้ชายกับผ้าโพกผม

ผ้าโพกผมอยู่กับแฟชั่นผู้ชายมานาน มักเป็นหนุ่มที่เป็นกบฏต่อสังคมเล็ก ๆ หรือมีความเป็นตัวของตัวเองสูง เช่น พวกศิลปินร็อค Axl Rose หรือ Jon Bon Jovi แต่คุณก็เห็นว่า พวกเค้าเลิกโพกผมกันแล้ว แต่ถ้าคุณไปทะเล โพกผมเพื่อกันลมแรงก็ไม่ว่ากัน

4. กางเกงเอวต่ำ

เซอ เท่ หรือว่าอะไรก็ตามที่คุณให้คำกัดความ การใส่กางเกงเอวต่ำของคุณ แต่คุณรู้มั้ยว่า การใส่กางเกงเอวต่ำนั้น นอกจากจะทำให้ดูไม่สุภาพแล้ว ยังทำให้คุณดูเหมือนเป็นยังไม่โต และทำให้ดูว่าคุณมีรูปร่างที่ไม่สมส่วน ขาคุณจะดูสั้นกว่าปกติ นอกจากนี้เวลาคุณเดิน คุณต้องพยายามไม่ให้ขอบเอวกางเกงเลื่อนลงมา คุณจึงต้องเดินขากางกว่าปกติ ทีนี้รู้แล้วสิครับว่า เหตุใดสาว ๆ จึงไม่อยากเดินด้วย

5. กางเกงขาสั้นจุดจู๋

คุณอาจจะอยากทำตัวให้เซ็กซี่ ด้วยการใส่กางเกงขาสั้น ที่สั้นกว่าปกติ ถ้าผู้หญิงใส่ล่ะใช่แน่ แต่ถ้าคุณผู้ชายใส่ล่ะก็ เคยสังเกตท่านั่งของคุณผู้ชายบ้างมั้ยครับว่าต่างจากผู้หญิงอย่างไร ผู้ชายจะนั่งแบะขามากกว่าผู้หญิง แล้วถ้าคุณใส่กางเกงขาสั้นกุดแบบนั้นล่ะก็ รับรองไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากนั่งใกล้คุณแน่นอน


เมื่อรู้ถึงข้องต้องห้ามเหล่านี้แล้ว ก็ลองเปลี่ยนพฤติกรรมหรือการแต่งตัวเสียใหม่นะค่ะ แล้วคุณจะดูดีมีสไตล์กว่าที่คุณเป็นอยู่



ที่มา : http://www.panclinic.com




วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2554

12 เทคนิคกันสมองเหี่ยว

เรื่องของการปลุกระดมสมองให้สดชื่นแจ่มใสเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็ต้องการ เพราะเมื่อสมองแจ่มใส ปลอดโปร่ง อะไรก็ดีตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็น การฟัง พูด อ่าน เขียน จดจำ หรือความคิด

กลับกัน หากสมองเหี่ยว ฝ่อ ไม่สดใส อาจจะเกิดจากความเครียด หรือการหมกมุ่นกันเรื่องใดเรื่องหนึ่งนานๆ หรือ ขาดการพักผ่อน ทักษะดังกล่าวก็จะลดน้อยถอยไป กรรมวิธีที่จะทำให้สมองแข็งแรงไปอย่างยืนยาวนั้น สถาบันดีสปายน์ไคโรแพรคติก เทคนิคมาแนะนำ


1. ดื่มน้ำให้พอ เพราะสมองของคนเราประกอบด้วยน้ำถึง 85% ดังนั้นเมื่อร่างกายขาดน้ำ สมอง ก็จะทำงานช้าลง ทำให้กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดอะไรไม่ค่อยออก

แต่การดื่มน้ำนั้นแต่ละคนจะมีความต้องการน้ำไม่เท่ากันขึ้นอยู่กันน้ำหนัก และพฤติกรรมต่างๆ ทั้งการเคลื่อนไหว และการบริโภค แต่โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้ใหญ่ควรดื่มน้ำวันละ 3-5 ลิตร ส่วนเด็ก 2-3 ลิตร

2. หายใจลึกๆ ช่วยส่งพลังงานไปถึงสมอง ถ้านั่งหายใจ หลังก็ควรจะตั้งตรง จะช่วยให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น และถ้านั่งนานเนไปควรเปลี่ยนอิริยาบถ ยืดเส้น ยืดสาย เพื่อให้ปอดขยาย

3. เลือกรับประทานอาหาร ที่มีไขมันดีทดแทนไขมันในสมองที่สึกหรอ อาทิ น้ำมันปลา สารสกัดจากใบแปะก๊วย ปลาแซลมอน อีฟนิ่งพริมโรส วิตามินซี

4. ตั้งโปรแกรมให้สมอง โดยใช้ความตั้งมั่นตั้งใจอย่างจริงจัง สมองจะค่อยๆ ปรับพฤติกรรมให้ไปสู่เป้าหมายได้

5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ ช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ไปกระตุ้นพลังออร่าให้สว่างสดใสจะช่วยดึงดูดสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต

6. ฝึกสมาธิพัฒนาอารมณ์ให้สมองผ่อนคลาย จะช่วยทำให้มีจินตนาการมีความคิดสร้างสรรค์ สามารถทำได้ทั้งตื่นเช้าหรือก่อนนอนทุกวัน

7. ออกกำลังกาย กระตุ้นการทำงานของสมองพร้อมกับดื่มน้ำบ่อยๆ

8. หาอะไรใหม่ๆ ให้ชีวิต เช่น รู้จักคนใหม่ๆ อ่านหนังสือเล่มใหม่ ขับรถเส้นทางใหม่ หรือแลกเปลี่ยนทัศนคติใหม่ๆกับเพื่อน สมองจะหลั่งสารแห่งความสุข เอ็นดอรŒฟิน และสารแห่งการเรียนรู้ โดปามีน ทำให้เกิดการอยากเรียนรู้อย่างมีความสุข

9. รู้จักให้อภัยและลดความโกรธ จะทำให้สูญเสียพลังงานน้อยลง และยังเป็นการช่วยลดภาระให้กับสมอง

10. พูดเรื่องดีๆ กับตัวเองซ้ำๆ ให้เกินวันละ 100 ครั้ง

11. บันทึกสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันลงในสมุดบันทึก ช่วยทำให้สมองคิดในเชิงบวก ทำให้หลับฝันดี มีสมาธิ

12. พักผ่อนให้เพียงพอ โดยช่วงเวลา 21.00 น. จะเป็นช่วงเวลานอนที่ดีที่สุด

เรื่องนี้ไม่ใช่เหมาะสำหรับเด็ก แต่เป็นเรื่องที่ทุกเพศ ทุกวัยสามารถปฏิบัติได้เป็นการยืดอายุสมอง ให้อยู่กับเราไปได้นานเท่านาน!!










ที่มา http://www.panclinic.com


วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554

วิธีเลือกแชมพู เพื่อสุขภาพผมสวย

แชมพูสระผมที่ดีและเหมาะสม ควรจะทำหน้าที่ชำระล้างสิ่งสกปรกออกจากหนังศีรษะได้หมดจรด โดยไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่อหนังศีรษะ และไม่ทำให้เส้นผมแห้งแตกปลาย ในขณะเดียวกัน ควรมีส่วนช่วยให้เส้นผมนุ่มลื่นและช่วยสางหวีเส้นผมได้ง่าย เมื่อผมแห้ง

ส่วนประกอบสำคัญในแชมพูสระผม

สารทำความสะอาดชนิดที่มีคุณภาพทางเคมีดีพอสมควร มีปริมาณความเข้มข้นที่เหมาะสม ไม่เข้มข้นเกินไปและไม่ต่ำจนเกินไป

สารคอนดิชั่นนิ่ง ซึ่งเป็นสารช่วยเคลือบเส้นผมช่วยให้เส้นผมนุ่มลื่นไม่พันกัน และยังช่วยปกป้องเส้นผมสิ่งแวดล้อมภายนอกได้บ้าง

การเลือกซื้อแชมพูสระผม

แชมพูสระผมผู้ใหญ่ ขอแนะนำว่าไม่ควรเลือกชนิดที่มีฟองมากเกินไป เพราะสารทำความสะอาดเหล่านั้น มักจะมีคุณภาพทางเคมีที่ต่ำไม่เหมาะกับเส้นผม และผิวหนัง เหมาะที่จะเป็นส่วนผสมในน้ำยาล้างจานหรือน้ำยาถูพื้นมากกว่า สังเกตได้ง่าย ๆ ว่าเมื่อสระผมด้วยแชมพูที่มีฟองมาก ๆ และสระเป็นประจำเส้นผมจะแห้งแตกปลายและไร้น้ำหนัก การใช้แชมพูที่มีส่วนผสมของสารคอนดิชั่นนิ่ง จะช่วยรักษาคุณภาพเส้นผมได้พอสมควร ส่วนสารอาหารอื่น ๆ ที่ใส่เสริมในแชมพู เช่น วิตามินชนิดต่าง ๆ อโลวีร่า หรือสารสกัดสมุนไพรอื่น ๆ ที่โฆษณาว่า ให้ประโยชน์ต่อเส้นผมนั้น ในความเป็นจริงไม่มีส่วนช่วยให้เส้นผมที่เสียไปแล้วดีขึ้นเลย ผู้ที่มีผมเสีย เพราะได้รับการแต่งสีผม ดัดผม ควรจะตัดผมที่เสียทิ้งไปโดยไม่ต้องเสียดาย

แชมพูสำหรับเด็ก จะมีองค์ประกอบที่แตกต่างจากแชมพูสำหรับผู้ใหญ่ตรงที่ว่า สารทำความสะอาดจะมีคุณภาพที่อ่อนละมุนต่อผิวหนังมากที่สุด ที่สำคัญสูตรแชมพูสำหรับเด็กจะไม่มีสารคอนดิชั่นนิ่ง เพราะเส้นผมเด็กบาง ไม่หนา และไม่ดกเหมือนผู้ใหญ่ จึงไม่ควรให้เด็กใช้แชมพูผู้ใหญ่ และการที่ผู้ใหญ่ใช้แชมพูเด็กก็จะทำให้ไม่ ได้รับประโยชน์ต่อเส้นผมเท่าที่ควร

แชมพูสมุนไพร หากถามว่า มีความจำเป็นมากน้อยเพียงไรให้ประโยชน์ได้มากมายต่อเส้นผมจริงหรือ คงตอบว่าไม่จริง เพราะหลักคือใช้แชมพูเพื่อทำความสะอาดเส้นผมและหนังศีรษะ เท่านั้น หากต้องการใช้สมุนไพร ควรใช้สมุนไพรสดเช่นในสมัยโบราณจะให้ผลดีที่สุด เช่น น้ำเมือกจากผลมะตูมและประคำดีควาย ทั้งสองชนิดมีคุณสมบัติเป็นสารทำความสะอาด ที่ดี ในสมัยโบราณมีการนำมาใช้ทั้งซักผ้าและสระผม แต่ถ้านำสารสกัดมาผสมในแชมพูสระผม ที่มีสารทำความสะอาดชนิดสังเคราะห์แล้ว ประโยชน์จากสมุนไพรจะไม่เกิดอาจให้ผลตรงกันข้ามด้วยซ้ำไป เพราะการนำสมุนไพรมาใช้ควรจะใช้เป็นหรือผ่านขบวนการสกัดที่เหมาะสม มิฉะนั้นคุณค่าจะสูญสลายไป

นอกจากนี้แชมพูที่ดีที่ได้มาตรฐานควรจะมีการปรับพีเอชให้เป็นกลาง เพื่อไม่ให้ระคายเคืองหนังศีรษะ ควรมีการเติมสารต้านเชื้อจุลรินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ เพราะสารสกัดสมุนไพร หรือสมุนไพรสดเชื้อจุลินทรีย์ มักจะเจริญเติบโตได้ง่าย หากใช้แชมพูสมุนไพรที่ไม่ได้ผ่านขบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน อาจมีปัญหาหนังศีรษะคัน ผมร่วงได้ ส่วนใหญ่มักเกิดจากการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์จากสมุนไพร หากพบปัญหาที่ว่าไปนี้ควรหยุดใช้แชมพูที่กำลังใช้อยู่ทันที

แชมพูผสมสารขจัดรังแค สำหรับผู้ที่มีปัญหาหนังศีรษะคันมีรังแคควรเลือกใช้แชมพูประเภทนี้ เช่น ซิ้งไพริไทออน การจะใช้ให้ได้ผลควรมีการใช้อย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 2-3 เดือนก่อนจะหยุดใช้ แต่หากยังไม่ได้ผลควรพิจารณาเปลี่ยนไปใช้แชมพูผสมสารต้านเชื้อรา ซึ่งแชมพูกลุ่มนี้ถูกจัดเป็นตำรับยาจะมีจำหน่ายในร้านขายยาเท่านั้น







ข้อมูลจาก http://www.panclinic.com


วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

5 วิธีดูแลเท้าของคุณในช่วงฤดูฝน

1. ไม่ควรเดินเท้าเปล่า เพราะอาจเกิดการบาดเจ็บหรือ เป็นแผลบริเวณเท้าเนื่องจากถูกแก้วบาด หรือตอไม้ทิ่มตำ และเมื่อมีบาดแผลดังกล่าวแล้วยังเดินย่ำน้ำต่อจะเกิดอันตรายจากการติดเชื้อสูงขึ้นไปอีก

2. ขณะเดินอยู่ในน้ำ
เราควรยกเท้าเหนือน้ำเมื่อต้องการจะก้าวเท้าต่อไป ไม่ควรก้าวเท้าโดยให้เท้าอยู่ใต้น้ำ เพราะการกระทำเช่นนี้จะทำให้เดินช้าลง และใช้เวลาลุยน้ำนานขึ้น โดยได้ระยะทางน้อย

3. เมื่อพ้นเขตน้ำท่วมแล้ว
ต้องรีบหาน้ำสะอาดล้างเท้าในทันที โดยใช้น้ำสะอาดให้มากพอ ถูสบู่บริเวณผิวหนังที่สัมผัสกับน้ำ เน้นตรงซอกเท้า ซอกเล็บด้วย บริเวณซอกเล็บควรใช้ แปรงอ่อนๆ จุ่มสบู่เล็กน้อยและถูเบาๆ ทำให้เชื้อโรคหรือไข่พยาธิต่างๆ หลุดออกไปได้หมด หรือจะแช่เท้าในอ่างบรรจุน้ำสะอาดสัก 15-30 นาที แล้วเช็ดเท้าให้แห้ง อาจใช้แป้งฝุ่นโรยสัก เล็กน้อยเพื่อเป็นการหล่อลื่นผิวหนัง

4. ถ้ามีอาการคันบริเวณผิวหนังซึ่งจุ่มน้ำ
แสดงว่าผิวหนังได้รับการระคายเคืองมากจากสิ่งปฏิกูลในน้ำ ควรทายาแก้คัน เช่น คาลาไมน์ หรือครีมแก้คัน อื่นๆ เช่น ไทรแอมซิโนโลน

5. สิ่งของที่เปียกน้ำ
ได้แก่ รองเท้า พรมรถยนต์ เบาะรถยนต์ ควรนำไปตากแดด ให้แห้งสนิท เพื่อขจัดความชื้น รวมถึงเป็นการฆ่าเชื้อโรคต่างๆ ที่อาจติดค้าง อยู่ในสิ่งของดังกล่าวให้หมดไป






ที่มา: www.panclinic.com




วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กินชะลอความชรา

กินชะลอความชรา


ไม่มีใครอยากแก่.. แล้วจะทำอย่างไรให้ไม่แก่ก็ไม่ได้ เราต้องร่วงโรยไปตามกาลเวลา แต่จะทำอย่างไรให้แก่ช้านั้นมันขึ้นอยู่กับเราค่ะ งั้นเรามากินเพื่อชะลอความชราที่กำลังจะมากันดีกว่านะค่ะ



1. ปลา ควรเป็นอาหารมื้อหลัก ยิ่งเป็นปลาทะเลน้ำลึกยิ่งดีค่ะ



2. กระเทียม มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก แต่ถ้าใครยี้กระเทียม เดี๋ยวนี้มีทั้งกระเทียมสกัดเป็นแคปซูล และแบบเม็ดให้เลือกกันค่ะ



3. ชา ไม่ว่าจะเป็นชาเขียว ชาดำ ชาอูล่ง ก็มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เพียงแค่ดื่มชาเขียวให้ได้วันละ 4 ถ้วยก็ใช้ได้แล้วค่ะ



4. ผักและผลไม้ ควรสรรหามากินให้ครบทุกมื้อ เพราะนอกจากจะมีวิตามินสูงแล้วก็มีสารต้านอนุมูลอิสระอีเช่นกันค่ะ



5. ถั่วต่าง ๆ หรืออาหารที่ทำจากถั่ว เช่น เต้าหู้ ล้วนแล้วแต่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง และดีกับวัยหมดประจำเดือนอีกด้วยค่ะ



มีสิ่งที่ควรกินก็ต้องมีสิ่งที่ควรเลี่ยงด้วยนะคะ



- เครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ หากดื่มมาก ๆ มันจะไปทำลายทุกระบบของร่ายกายค่ะ



- ไขมันอิ่มตัว ไม่มีประโยชน์แน่ค่ะ แต่สำหรับคนที่ชอบกินพึงระวังไว้ว่า ทุกคำที่กินคือน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นและโรคร้ายที่จะตามมา



- เนื้อสัตว์ เลือกกินที่ปรุงโดยการต้ม ตุ๋น และไม่กินส่วนที่เป็นมัน หรือถ้างดได้ก็งดไปเลยค่ะ




ที่มา : http://www.panclinic.com


วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

สวยง่าย ๆ ด้วยเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้น ไปดูกันเลยค่ะ

สรรหาวิธีสวยง่าย ๆ ภายใน 1 นาที มาฝากกัน เพื่อให้สาว ๆ ที่มีเวลาบำรุงและดูแลตัวเองในแต่ละวันไม่มากนัก จะได้สามารถดูแลตัวเองได้ง่าย ๆ ด้วยเวลาเพียง 1 นาทีเท่านั้นค่ะ แต่จะทำได้อย่างไรบ้างนั้น ไปดูกันเลย

1. ล้างหน้าให้สะอาดหมดจด การล้างหน้าแม้ว่าจะใช้เวลาเพียงน้อยนิด แต่สาว ๆ คงรู้ดีว่ามันสำคัญกับผิวหน้าคุณมากมายแค่ไหน ดังนั้น เราจึงไม่ควรละเลยการล้างหน้าให้สะอาดหมดจดภายในเวลา 1 นาที ด้วยผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่เหมาะสมกับผิวแต่ละประเภท

2. ขัดผิวง่าย ๆ
แต่เผยผิวใสไปตลอดวัน ด้วยการขัดหน้าเล็ก ๆ น้อย ๆ โดยใช้สครับนวดเบา ๆ ในตอนเช้า แต่การขัดผิวแบบนี้ แม้จะเป็นการขัดผิวแบบเบา ๆ ก็ไม่ควรทำทุกวันนะคะ วันเว้นวันก็มากพอแล้วค่ะ

3. ผมเงางามภายใน 1 นาที ด้วยการหมักผมด้วยคอนดิชันเนอร์สูตรบำรุงล้ำลึกหลังสระผม จากนั้นล้างออกให้สะอาด ทำแบบนี้บ่อย ๆ ผมคุณก็จะมีประกายเงางามได้อย่างไม่น่าเชื่อ

4. ทามอยซ์เจอไรเซอร์เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว เพียงวันละ 1 นาทีเท่านั้น คุณสามารถทามอยซ์เจอไรเซอร์ให้ทั่วใบหน้าได้ ก่อนที่จะแต่งหน้าทุกครั้ง ขั้นตอนนี้ไม่ควรลืมเลยล่ะค่ะ โดยเฉพาะสาว ๆ ที่ไม่ค่อยมีเวลามาส์กหน้าเท่าไรนัก

5. รองพื้นสำหรับผิวกาย ช่วยสนับสนุนความกระจ่างใสของผิวหน้าที่คุณแต่งแต้มเสร็จแล้ว โดยมันจะทำให้ผิวของคุณดูสว่างใสไปทั่วเรือนร่าง ไม่ใช่แค่เพียงบริเวณใบหน้าเท่านั้น ที่สำคัญมันเป็นสิ่งที่ปฎิบัติได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่ลูบไล้รองพื้นไปตามเรือนร่างนอกร่มผ้า รับรองใช้เวลาไม่เกิน 1 นาทีค่ะ

6. ทำเล็บเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ต้องเข้าร้านทำเล็บให้เสียเวลามาก แต่คุณสามารถทำความสะอาดและตัดเล็มเล็บให้ดูเรียบร้อยได้ ไม่ว่าจะหลังทานข้าวหรือนั่งรออะไรเพลิน ๆ ก็ตาม เป็นสิ่งเล็ก ๆ ที่แสดงออกถึงการดูแลตัวเองได้ไม่น้อยเลยล่ะ

7. บอกลาตาแพนด้า ด้วยช้อนแช่น้ำเย็น สำหรับสาว ๆ ที่ประสบปัญหาขอบตาคล้ำ เพียงแค่ใช้ช้อนแช่น้ำเย็นมาแปะบริเวณใต้ตาวันละ 1 นาที ทุก ๆ วัน ก็จะช่วยแก้ปัญหาตาแพนด้าได้ หากทำอย่างต่อเนื่องค่ะ

8. แต้มน้ำหอมเล็ก ๆ บริเวณหู หรือชีพจรที่ข้อมือ เพื่อความมั่นใจเวลาที่ย่างกรายไปที่ไหน ๆ คุณก็จะฝากกลิ่นหอมอ่อน ๆ ไว้ทุกครั้ง

9. กระชับใบหน้าง่าย ๆ ใน 1 นาที ด้วยการนวดเบา ๆ บริเวณโหนกแก้ม และใต้ตาอย่างต่อเนื่อง เพียงวันละ 1 นาที จะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น และกระชับใบหน้าได้ด้วย

10. เปิดดวงตากลมสวยด้วยมาสคารา ไม่ต้องละเมียดละไมสำหรับขั้นตอนนี้มากมาย คุณก็สามารถสวยอย่างเป็นธรรมชาติได้ เพราะการปัดมาสคาราอย่างรวดเร็ว เพียงข้างละ 5-6 ครั้ง จะทำให้มาสคาราที่ปัดออกมานั้นมีเส้นเล็ก และเป็นธรรมชาติ ไม่ติดกันเป็นขาแมลงวันอย่างที่สาว ๆ หลาย ๆ คนมักจะทำกัน


เพียงเท่านี้ สาว ๆ ก็สามารถดูแลตัวเองง่าย ๆ ภายใน 1 นาทีในแต่ละวันแล้วล่ะค่ะ เอ้า คราวนี้ก็ลองเลือกดูกันว่า คุณยังขาดการปรนนิบัติและดูแลตัวเองในเรื่องใดบ้าง



ที่มา : http://www.panclinic.com


วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ผิวคล้ำเสีย ผิวไหม้ ทำไงดี


แม้ปีนี้อากาศจะหนาวนานกว่าปีก่อนๆ แต่พอเริ่มเข้าหน้าร้อน ดูเหมือนว่าอุณหภูมิอากาศก็จะยิ่งเพิ่มสูงกว่าปีก่อน ๆ ไปด้วย ยิ่งในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา หากสาว ๆ คนไหนใช้เวลาอยู่นอกบ้านนาน ๆ ก็คงเริ่มสัมผัสได้แล้วว่าแสงแดดช่วงนี้ร้อนแผดเผาอย่างมากมาย จนทำให้ผิวสวยกลายเป็นผิวคล้ำเสียเอาได้ง่าย ๆ หรือยิ่งไปกว่านั้นสาว ๆ หลายคนอาจต้องเจอกับปัญหาผิวไหม้เลยก็มี


สาว ๆ ที่กำลังหาวิธีแก้ปัญหาผิวคล้ำเสีย หรือผิวไหม้จากแสงแดดด้วยสูตรปรนนิบัติผิวง่าย ๆ ที่จะช่วยแก้ปัญหาผิวเสียผิวไหม้จากแสงแดดมาฝากกันค่ะ ไปดูกันเลยว่ามีวิธีไหนกันบ้าง


1. ว่านหางจระเข้ สำหรับสาวที่ผิวไหม้ ให้ใช้ว่านหางจระเข้ทาบริเวณใบหน้า แล้วทิ้งไว้ครึ่งชั่วโมง จะช่วยลดอาการแดงได้ค่ะ


2. นม ใช้นมสดทาบริเวณผิวที่ไหม้แดด หรือบริเวณที่มีอาการแสบแดง จะช่วยลดอาการแสบแดงและสมานผิวได้ดี


3. น้ำผึ้ง ใช้น้ำผึ้งทาให้ทั่วใบหน้าแล้วทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมง หรือหากมีเวลามากก็ทิ้งไว้อยู่อย่างนั้นเลย เพื่อให้น้ำผึ้งช่วยลดอาการแสบแดงและฟื้นฟูผิวที่ไหม้ได้ สามารถผสมกับนมสดทาทั่วใบหน้าได้เช่นกัน


4. ใช้น้ำแข็งประคบบริเวณผิวที่ไหม้แดด อาจจะทาว่านหางจระเข้ลงไปก่อนแล้วประคบด้วยน้ำแข็งก็ได้


5. ปั่นมะเขือเทศ แตงกวา และนมสดให้เข้ากัน จากนั้นนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 20 นาทีแล้วล้างออก จะช่วยทำให้ผิวนุ่มขึ้น สมานผิวที่ไหม้ได้


หลังจากพอกหน้าเพื่อแก้ปัญหาผิวคล้ำเสียและผิวไหม้แล้ว สาว ๆ ก็อย่าลืมทาครีมกันแดดทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง เพื่อปกป้องผิวไม่ให้ถูกแสงแดดทำลายซ้ำสองด้วยนะคะ


ที่มา :www.panclinic.com

วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2554

หลังคลอดบุตรคุณแม่ผมร่วงกันบ้างมั้ยคะ

หลังคลอดบุตรคุณแม่ผมร่วงกันบ้างมั้ยคะ

ภาวะผมร่วงหลังคลอดนี้จะมีลักษณะ คือ ภายหลังจากที่คุณแม่คลอดน้องได้ประมาณ 3 เดือน เส้นผมของคุณแม่ก็จะหลุดและร่วงออกเป็นจำนวนมากกว่าปกติ ซึ่งถือว่าเป็นภาวะที่เป็นปกติ และเป็นภาวะที่เกิดขึ้นชั่วคราว ดังนั้นคุณแม่จึงไม่ต้องตกใจ โดยทั่วไปแล้วอาการจะหายไปภายในเวลาประมาณ 6 – 12 เดือนหลังคลอด

โดยปกติทั่วๆไปแล้ว เส้นผมของเราจะมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันอยู่ตลอดเวลาตามธรรมชาติของเส้นผมที่มีการหลุดร่วง และการงอกขึ้นใหม่ แต่ถ้าการร่วงของเส้นผมกลายไปเป็นปัญหา คือไม่ใช่ร่วงแบบปกติธรรมดาทั่วๆไป แต่เป็นการร่วงที่ผิดปกติก็คือ ร่วงมากกว่าเดิมจนสังเกตได้

ก่อนอื่นเราควรทราบถึงสาเหตุของการเกิดผมร่วงก่อนนะค่ะ ว่ามีสาเหตุมาจากอะไรกันบ้าง เช่น ผมร่วงหลังคลอดบุตร พันธุกรรม ความเครียด สารเคมีบางชนิด ผมร่วงจากการผ่าตัด(เนื่องจากการเสียเลือด) การขาดสารอาหารบางชนิด เชื้อรา ฯลฯ ปัจจัยเหล่านี้มีผลทำให้ปริมาณของเส้นผมลดลง เราจึงควรใส่ใจและดูแลสุขภาพเส้นผมให้มากขึ้นกว่าเดิม โดยสังเกตว่าอาการผมร่วงของเราน่าจะเกิดจากปัจจัยใด โดยแก้ที่สาเหตุเหล่านั้น นอกจากนี้ยังมีวิธีง่ายๆ ให้ปฏิบัติดังนี้ค่ะ

1. เลือกรับประทานอาหารและของที่มีประโยชน์กับเส้นผม เช่น ธัญพืช, ข้าวกล้อง, งาดำ, เมล็ดทานตะวัน, ฟักทอง
2. หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีที่มีผลต่อการทำลายเส้นผม
3. เลือกใช้แชมพูที่เหมาะกับสภาพผมและหนังศีรษะ
4. การทำความสะอาดเส้นผม ควรทำอย่างนุ่มนวล ไม่สระผมอย่างรุนแรง
5. ควรรับประทานแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อรากผม เช่น Biotin ช่วยให้อาการผมบางดีขึ้น และมีการสร้างผมใหม่ขึ้นมา ทดแทน, Zinc ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่เมื่อร่างกายขาด จะทำให้ผมร่วง

สำหรับคนที่มีปัญหาผมร่วง ไม่ว่าจะสาเหตุใด สามารถเสริมได้ด้วยอาหารเสริม Biotin ซึ่งจะช่วยลดการหลุดร่วงของเส้นผม นอกจากนี้ ยังรักษาอาการเล็บเปราะและหักง่าย ช่วยให้เส้นผมแข็งแรง สุขภาพดี มีส่วนประกอบของ ไบโอติน 600 มก.(วิตามินบีชนิดหนึ่งที่ละลายน้ำได้ดี) รับประทานคู่กับ Zinc จะส่งผลให้การทำงานดีขึ้น จะทำให้ผมเราร่วงน้อยลง และสุขภาพเส้นผมแข็งแรงขึ้นอีกด้วยค่ะ

ที่มา :
http://www.panclinic.com

วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ร้อนนี้... มาใส่เสื้อผ้าชีฟองกันดีกว่า

ร้อนนี้... มาใส่เสื้อผ้าชีฟองกันดีกว่า

อากาศร้อน ๆ อบ ๆ อ้าว ๆ อย่างนี้ ก็มีแฟชั่นสุดฮิตอินเทรนด์เข้ากับหน้าร้อนมาฝากเพื่อน ๆ กันเป็นระยะ ๆ เพื่อให้ได้อัพเดทเทรนด์กันแบบไม่มีเอาท์

วันนี้ถึงคิวเสื้อผ้าที่เข้ากับบรรยากาศร้อน ๆ สุด ๆ นั่นคือ... เสื้อผ้าที่ทำจากผ้าชีฟอง ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้าชีฟอง เดรสผ้าชีฟอง กระโปรงผ้าชีฟอง ที่ยกขบวนกันมาอัพเดทเทรนด์แฟชั่นให้กับเพื่อน ๆ แต่ก่อนจะไปดู แฟชั่น ผ้าชีฟอง สวย ๆ เรามีเคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการรักษาเสื้อผ้าชีฟองให้อยู่กับเราไปนาน ๆ มาฝาก นั่นคือ...

การซักเสื้อผ้าชีฟองนั้น เพื่อน ๆ ควรซักด้วยมือ และขยี้เพียงเบา ๆ ไม่ควรนำไปซักเครื่องอย่างเด็ดขาด เนื่องจากผ้าชีฟองเป็นผ้าที่บางและเบา ขืนซักด้วยเครื่อง อาจทำให้เสื้อผ้าขาดเสียหายได้

ผ้าชีฟองส่วนมาก ไม่จำเป็นต้องรีด เพราะเนื้อผ้าจะคงรูป คือไม่ยับและเสียทรงง่าย ทางที่ดี หลังซักเสื้อผ้าชีฟองแล้ว ไม่ต้องบิดแรง ๆ ให้ตากไปแบบนั้นเลยค่ะ


ที่มา : http://www.panclinic.com

วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2554

หนังตาตก คิ้วตก ไม่เท่ากัน

หนังตาตก คิ้วตก ไม่เท่ากัน

สาเหตุหลักมาจากอายุที่มากขึ้นครับ ผิวหนังบริเวณเปลือกตาบนก็หย่อนคล้อยลง หรืออาจมีไขมันใต้ผิวหย่อนคล้อยออกมาด้วย หรืออาจเป็นมาแต่กำเนิดครับ เพราะถ้าสังเกตดีๆ เราอาจจะมีดวงตาที่ไม่เท่ากันได้ทั้งสองข้าง ในกรณีที่เป็นไม่มากนักอาจจะยังไม่จำเป็นต้องศัลยกรรมครับ มี treatment และ laser ที่ช่วยทำให้ดีขึ้นได้ครับ เช่น Collagen and Eye Lifting, Dewy Eye Lifting, Special Collagen and Eye Lifting หรือเลือกเข้าโปรแกรม Excellent Redesign by Beauty Cocktail ซึ่งเป็นโปรแกรมใหม่ล่าสุดที่ทำให้สวยได้อย่างใจ และอาจฉีดสารปรับเปลี่ยนโครงสร้างกล้ามเนื้อ (ฉีดMM) ก็ทำให้ดีขึ้นได้ครับ

เป็นยังไงบ้างครับ จะเห็นว่าเรามีทางเลือกมากมายในการดูแลปัญหารอบดวงตาเลยใช่มั้ย แต่ทางเลือกไหนจะเหมาะสมกับปัญหาเรามากที่สุด คงต้องร่วมกันดูแลระหว่างคุณกับแพทย์นะครับ เพราะอาจมีข้อจำกัดหลายอย่างว่าปัญหารอบดวงตาของเราเกิดจากอะไร แต่ยังไงก็อย่าลืมมองรอบดวงตาเราเอง เพื่อเริ่มดูแลก่อนที่คนอื่นจะเห็นปัญหารอบดวงตาเรา ใครที่มีโอกาสสามารถแวะปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ที่แพนคลินิก และ LaBretagne คลินิก ทุกสาขาทั่วประเทศนะครับ

ที่มา : http://www.panclinic.com


วันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2554

14 พฤติกรรมทำน้ำหนักพุ่ง

14 พฤติกรรมทำน้ำหนักพุ่ง


รู้ไหมว่า นิสัยเคยชินบางอย่างของสาว ๆ ก็ทำให้น้ำหนักขึ้นพรวดโดยไม่ได้ตั้งใจ วันนี้ จึงขอมากระซิบบอก 14 พฤติกรรมที่อาจทำให้คุณสาว ๆ ปวดเฮดเพราะน้ำหนักขึ้นได้มาบอกกัน ไปดูกันเลยค่ะ


1. ดูทีวีเคยมีงานวิจัยระบุว่า คนที่ดูทีวีมากกว่า 2 ชั่วโมงต่อวัน มีแนวโน้มที่น้ำหนักจะขึ้นได้มากกว่าคนที่ดูทีวี เพียงแค่ครึ่งชั่วโมงต่อวัน นั่นเพราะเมื่อดูทีวี ร่างกายของคุณแทบจะไม่ได้ลุก หรือขยับไปไหน ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิต และอัตราการเผาผลาญในร่างกายลดลงตามไปด้วย โดยเฉพาะเด็ก ๆ ซึ่งเคยมีรายงานการวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ว่า ยิ่งปล่อยให้เด็ก ๆ ดูทีวีนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งอ้วนขึ้นได้ง่ายเท่านั้น


2. ทานเร็ว ทานไวแทบจะเป็นนิสัยประจำตัวของผู้คนส่วนใหญ่ ที่อยู่ในสังคมอันเร่งรีบเลยทีเดียว แต่รู้ไหมว่า การทานอาหารเร็วนั้น จะยิ่งทำให้คุณทานมากขึ้น เพราะโดยปกติแล้ว สมองจะต้องใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที ที่จะส่งสัญญาณว่า "อิ่มแล้ว" และทำให้คุณหยุดกิน แต่หากคุณทานอาหารเร็ว กว่าสมองจะส่งสัญญาณ "อิ่ม" คุณก็ทานอะไรต่อมิอะไรเข้าไปมากมายเสียแล้ว แน่นอนว่า ความอ้วนถามหาอย่างไม่ต้องสงสัย


3. ทำงานไป กินไปหลายคนติดนิสัยต้องหาขนมนมเนยเข้าปาก ระหว่างทำกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ดูทีวี ขับรถ หรือแม้กระทั่งคุยโทรศัพท์ ก็ขอให้มีอะไรเคี้ยวเล่นหน่อยเถอะ แต่นิสัยนี้จะทำให้คุณน้ำหนักเพิ่มขึ้นได้โดยไม่ตั้งใจเชียวล่ะ


4. หลงใหลอาหารฟาส์ตฟู้ดส์แม้อาหารฟาส์ตฟู้ดส์จะดูเป็นอาหารที่รวดเร็วทันใจ หนุ่มสาวในสังคมยุคใหม่ แต่ก็ทำให้คุณน้ำหนักพุ่งเร็วทันใจเช่นกัน เพราะอาหารฟาส์ตฟู้ดส์เหล่านี้ ล้วนประกอบไปด้วยแป้ง ไขมันอิ่มตัว และไขมันทรานส์ แถมยังมีกากใยไฟเบอร์จากผักผลไม้น้อยมาก ยิ่งชิ้นใหญ่ ๆ ยิ่งน่ากลัวทีเดียว


5. กินตามอารมณ์หากคุณไม่ได้ทานอาหารเพราะหิว แต่ทานตามอารมณ์ รู้ไหมว่า จะทำให้คุณอ้วนขึ้นได้ โดยผู้เชี่ยวชาญ ระบุว่า 75% ของการรับประทานอาหารที่มากเกินไปเกิดจากการรับประทานอาหารตามใจ หรือตามอารมณ์ของตัวเองทั้งนั้น อย่างเช่นหากคุณเครียด ก็อาจจะวิ่งเข้าครัวไปหยิบสแน็กมาแทน หรือหากมีความสุข คุณก็ทาน ทาน ทาน เช่นกัน


6. ไม่มีเวลาออกกำลังกายคำพูดยอดฮิตของใครหลาย ๆ คนใช่ไหมล่ะ แม้จะปฏิญาณตนไว้แล้วก็ตามว่า "วันนี้แหละ ฉันจะออกกำลังกาย" แต่สุดท้ายก็มักจะอ้างว่า "ไม่มีเวลา" ทุกทีไป นั่นเพราะคนส่วนใหญ่ชอบจัดให้การออกกำลังกายเป็นกิจกรรมที่สำคัญ เป็นสิ่งสุดท้ายในตารางชีวิตไปเสียอย่างนั้น


7. คนใกล้ตัวพาอ้วนได้ผลการศึกษาเมื่อปี 2007 ที่ตีพิมพ์ใน New England Journal of Medicine พบว่า "ความอ้วน" อาจมีสาเหตุมาจากคนรอบข้างที่เรามีความสัมพันธ์ด้วยก็เป็นได้ โดยผู้วิจัยได้ศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างกว่า 12,000 คน ที่มีอายุเกิน 32 ปีขึ้นไป พบว่า คนที่มีเพื่อน พี่น้อง หรือคู่ครองคนใดคนหนึ่งที่มีน้ำหนักเกิน มีแนวโน้มจะอ้วนขึ้นได้ตั้งแต่ 37-57 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าพฤติกรรมการกิน การใช้ชีวิตส่งอิทธิพลถึงให้คล้าย ๆ ก็เป็นได้ ส่วนใครที่มีเพื่อนบ้านน้ำหนักเกินก็ไม่ต้องกังวล เพราะรายงานไม่พบว่า เพื่อนบ้านสามารถทำให้คุณน้ำหนักเกินตามไปด้วยได้


8. นอนหลับไม่เพียงพอหากคุณนอนหลับไม่เพียงพอ ฮอร์โมนเกรลินซึ่งเป็นฮอร์โมนกระตุ้นความหิวจะเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ฮอร์โมนเลปตินซึ่งเป็นฮอร์โมนระงับความอยากอาหารจะลดลง ทำให้คุณอยากทานนู่น อยากทานนี่ไปเสียหมด สอดคล้องกับผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยบริสตอลของสหราชอาณาจักร ที่พบว่า หากเวลานอนของคุณลดลงไป 1 ชั่วโมง จะทำให้คุณอ้วนเพิ่มขึ้นได้อีก 3%


9. ไม่สนใจเรื่องแคลอรี่คนมากมายรับประทานอย่างเดียวโดยไม่รู้ว่า อาหารที่เรารับประทานมีแคลอรี่มากน้อยแค่ไหน และในวันหนึ่ง ๆ เราต้องการแคลอรี่มากน้อยแค่ไหน ทำให้เราไม่สนใจอาหารที่อยู่ตรงหน้า และมักจะกินตามใจฉัน ซึ่งนี่เป็นสาเหตุทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น และยังเป็นนิสัยที่ไม่ดีด้วยล่ะ


10. ใช้เครดิตการ์ดจากผลสำรวจการใช้บัตรเครดิตจับจ่ายในร้านอาหารฟาส์ตฟู้ดส์กว่า 100,000 ร้าน พบว่า คนที่จ่ายค่าอาหารด้วยบัตรเครดิตจะเสียเงินซื้ออาหาร มากกว่าคนที่จ่ายด้วยเงินสดถึง 30% โดยสำหรับผู้หญิงที่เข้าร้านอาหารฟาส์ตฟู้ดส์สัปดาห์ละครั้ง พวกเธอจะจ่ายเงินเพิ่มขึ้นอีก 4.9 ปอนด์ หรือประมาณ 245 บาทต่อปี นั่นก็เพราะพวกเธออยากได้คะแนนสะสม ก็เลยต้องซื้อของกินมากขึ้น เพื่อให้ได้แต้มเพิ่มขึ้นนั่นเอง และหากมีของกินมากขึ้น จะไม่ให้คุณอ้วนขึ้นได้อย่างไรล่ะ


11. พลาดอาหารมื้อสำคัญงานวิจัยหลายชิ้นบอกเราว่า คนที่ทานอาหารเช้า จะมีแนวโน้มน้ำหนักเกินลดน้อยลง เช่นเดียวกับ ดร.เดนิส บรูเนอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคอ้วน ที่กล่าวว่า การข้ามอาหารมื้อใดมื้อหนึ่งไป ทำให้คุณอยากจะชดเชยความอยากอาหารในมื้อต่อไป ซึ่งจะทำให้คุณอยากทานอาหารในปริมาณที่มากขึ้นนั่นเอง


12. ใส่เสื้อผ้าที่ไม่สบายตัวไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า การใส่เสื้อผ้าก็มีความเชื่อมโยงกับน้ำหนักตัวของคุณด้วย โดยงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน พบว่า การสวมใส่เสื้อผ้าลำลองที่สบาย ๆ สไตล์ Casual ในวันทำงานจะเอื้ออำนวยต่อการทำกิจกรรมต่าง ๆ มากกว่า ดังเช่น ในวันที่ผู้เข้าร่วมการศึกษาสวมเสื้อผ้ายีนส์ จะเดินได้มากกว่าวันที่สวมเสื้อผ้าแบบทางการอย่างชุดสูท เฉลี่ยถึง 8% ซึ่งก้าวเดินที่มากขึ้น หมายถึงว่า เราได้เผาผลาญแคลอรีในร่างกายได้เพิ่มขึ้นด้วย และถ้าหากคุณสวมใส่เสื้อผ้าสไตล์ลำลอง สบาย ๆ ทุก ๆ วันเป็นเวลา 50 สัปดาห์ จะสามารถเบิร์นแคลอรีได้เพิ่มขึ้น 6,250 แคลอรีต่อปีอย่างไม่น่าเชื่อ


13. ไม่ยอมชั่งน้ำหนักแม้คุณจะเกลียดตัวเลขที่ปรากฎบนที่ชั่งน้ำหนักแค่ไหน เราขอแนะนำให้คุณหันหน้ากลับไปหาตาชั่งเหมือนเดิมค่ะ เพราะผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยมินเนโซต้า พบว่า คนที่ชั่งน้ำหนักทุกวัน ๆ เป็นเวลาเกินกว่า 2 ปี จะสามารถลดน้ำหนักลงได้มากกว่าคนที่แทบจะไม่เคยชั่งน้ำหนักเลย ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าการชั่งน้ำหนักทำให้เรารู้ว่า ตอนนี้เราอ้วนแล้วหรือยัง และเกิดแรงฮึดที่จะลดน้ำหนัก หรือทานอะไรให้น้อยลงนั่นเอง โอ้...ไม่น่าเชื่อเลยนะเนี่ย


14. เบื่อ เครียด...อ้วนมีผลสำรวจจากประเทศอังกฤษระบุว่า คนเราจะรู้สึกอยากรับประทานอาหารมากขึ้น เมื่อพวกเขารู้สึกเบื่อ เครียด และเหนื่อยหน่ายกับปัญหาต่าง ๆ ดังนั้นแล้ว หากใครไม่อยากอ้วน ก็ทำจิตใจให้แจ่มใส อย่าเครียดเลยค่ะ เดี๋ยวจะกิน กิน กิน ไม่รู้ตัว



อย่ารอช้า!!! ถ้าหากคุณมีนิสัย (เสีย) ดังที่เราบอกไปแล้ว รีบปรับแก้ซะก่อนที่คุณจะอ้วนขึ้นโดยไม่รู้ตัว



ที่มา : www.panclinic.com


วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2554

Teen make up Trend

สวัสดีค่ะ เพื่อนแพนฉบับนี้มาพร้อมความสดใสวัยทีน น้องๆ วัยทีนจะได้มารู้เทคนิคการแต่งหน้าสดใสสมวัยทีน ที่เรียกว่าแอ๊บแบ๊วมาฝากเพราะน้องๆ วัยทีนไม่ควรแต่งหน้าจัดเกินไปเพราะฉะนั้นน้องๆ ควรแต่งหน้าใสๆ บางๆ ดูแทบไม่รู้ว่าวันนั้นน้องๆ ได้ลงเมคอัพมาเพื่อเผยผวิใส เปล่งปลั่งในวัยทีนอยากทราบเทคนิคกันแล้วใช่ไหมคะ เราติดตามกันได้เลยค่ะ....

Face

สาวน้อยวัยทีนบางคนมักมีปัญหาเรื่องสิวหรือรอยดำจากสิว ลองแป้งที่ผสมรองพื่นแต่ให้สัมผัสบางเบาไม่หนาเกินไป จะช่วยปกปิดรอยดำจากสิว และสิวได้ดี ทำให้หน้าแลดูสดใส ตบแป้งเบาๆ ให้ทั่วหน้าค่ะ

Eyes

ทาตาแค่เพียงเบาๆ และไม่ควรใช้สีเมทัลลิคที่กำลังอินเทรนด์อยู่นี่ล่ะค่ะ หรือจะเป็นสีที่มีประกาย สำหรับวัยรุ่นไทยควรใช้สีโทนชมพูหรือออกน้ำตาล ก็ได้นะคะ หรืออยากลองเฉดสีใหม่ของ Elisses Butterfly ที่ทำสีสดใสเหมาะกับทุกวัย ลองไปที่เคาน์เตอร์ให้พี่ๆ ช่วยแนะนำการแต่งโทนสีใหม่กันได้นะคะ

หากจะปัดมาสคาร่า ใช้สีดำหรือสีน้ำเงินเข้มจะเหมาะที่สุดกับผมสีดำ ใช้อายไลเนอร์วาดให้แลดูเป็นธรรมชาติและควรหัดเขียนขอบตาอย่างระมัดระวัง และมือควรจะนิ่งเพื่อให้ได้เส้นที่ตรง และถ้าทาแล้วสีเข้มเกินไปให้ค่อยๆ เช็คออกด้วยกระดาษทิชชู่ค่ะ

Cheek

สำหรับธรรมชาติดูอ่อนเยาว์ให้ใช้ลูกพีชหรือสีชมพูหรือเป็นกลางใช้แปรงแตะและวนทีพวงแก้มให้ปัดตรงโหนกแก้มโดยการยิ้มจะทำให้เราเห็นโหนกแก้มชัดเจน และปัดออกไปตามไรผมด้านข้างค่ะ

Lip

ใช้ลิปกลอสเพื่อให่ได้ริมฝีปากที่เย้ายวน หากต้องการใช้ลิปสติกสี ในเวลากลางคืนลองใช้สีที่อ่อนๆ หากต้องการเพิ่มความมันวาวให้ทาลิปกลอสทับอีกชั้นหนึ่ง และควรมีลิปกลอสติดตัวอยู่เสมอค่ะ


ขอขอบคุณ นิตยาสารเพื่อนแพนฉบับที่ Vol.28 No.180 ISSUE 1/2554
Beauty Diy by Butterfly By Elisses : 18A-19A

http://www.panclinic.com


วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2554

Nutrition for Your Eyes สุดยอดอาหาร (ดวง) ตา : ว่ากันว่า "ดวงตา" เป็นหน้าต่างของดวงใจ สาวๆ ที่อยากจะส่งสายตาสื่อภาษาใจจึงต้องมีการบำรุงกันหน่อย

ฉบับนี้ของเอาใจสาวๆ วัยทีนกันหน่อย ว่ากันว่า "ดวงตา" เป็นหน้าต่างของดวงใจ สาวๆ ที่อยากจะส่งสายตาสื่อภาษาใจจึงต้องมีการบำรุงกันหน่อย เป็นอะไรที่ขาดไม่ได้คือ สุดยอดอาหารบำรุง (ดวง) ตา ที่เราจะนำเสนอ สาวๆ วัยทีนควรต้องรู่ว่าในหนึ่งวันควรบริโภคอาหารอะไรที่จะบำรุงสายตาบ้าง เพราะมลภาวะและการใช้สายตาในแต่ละวันทำให้ดวงตาเสื่อมโทรมถ้าไม่ได้รับการบำรุงที่ถูกต้อง เริ่มต้นนิสัยการกินที่ดีตั้งแต่วันนี้นะค่ะ มาเริ่มดูอาหาร (ดวง) ตากันดีกว่าค่ะ...

Vitamin A and Your Eyes สายตาดีกับวิตามินเอ

เรามักคุ้นชินกับวิตามินที่บำรุงสายตาคือ วิตามิน A วิตามินโดยทั่วไปส่วนผสมแรกบนฉลากของขวดวิตามินที่บ่งบอกสรรพคุณบำรุงสายดาต้องมีชื่อของ Vitamin A เพราะวิตามินตัวนี้มีความสำคัญต่อการรักษาสุขภาพตาของคุณ การขาดวิตามินจะทำให้เกิดปัญหาในตอนกลางคืนอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดตาแห้งอย่างรุนแรงซึ่งอาจนำไปสู่การติดเชื้อและการสูญเสียการมองเห็น การวิจัยชี้ให้เห็นว่าวิตามินยังอาจลดความเสี่ยงของต้อกระจกและการเสื่อมสภาพของดวงตาอีกด้วย นอกจากนี้ยังอาจชะลอการสูญเสียการมองเห็นในผู้ที่มีภาวะตาเรียกว่า pigmentosa retinitis นอกจากนี้วิตามินยังมีบทบาทสำคัญในการเจริญเติบโตของกระดูกและช่วยให้คุณต่อสู้กับอาการตาสีชมพูและการติดเชื้ออื่นๆ โดยวิตามินเอจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของคุณแข็งแรงมากขึ้น และไม่หมดประโยชน์เพียงเท่านี้ยังดีสำหรับสุขภาพผิวของสาวๆ อีกด้วย

วิตามินเท่าไหร่ที่คุณต้องใช้ในแต่ละวัน ค่ะ ทุกอย่างต้องมี Limit ที่จะให้ประโยชน์กับดวงตาคู่สวยของคุณ การวิจัยของประเทสสหรัฐอเมริกาได้บอกการบริโภคให้บริโภคตามหน่วยดังนี้ค่ะ สำหรับหนุ่มๆ ควรบริโภคขั้นต่ำ 900 ไมโครกรัมซึ่งเท่ากับ 3,000 หน่วยสากล (IU) สำหรับสาวๆ ก็เป็น 700 ไมโครกรัม (2,333 IU)

แหล่งอาหารที่ดีของวิตามิน ได้แก่ นม , ตับไก่ , เนื้อวัว , น้ำมันตับปลาและไข่ วิตามินยังสามารถได้รับทางอ้อมจากผลไม้และผักหลากสีแต่การบริโภควิตามินเอก็ไม่ควรมากเกินไปอาจเป็นอันตรายได้เช่นกันค่ะ เพราะฉะนั้นไม่ควรเกิน 2,800 (9,333 IU) ต่อวัน

Carotenoids for Goof Vision มองเห็นได้ดีกับคาโรทีนอยด์

สารอาหารที่สำคัญอื่นๆ สำหรับตาและการมองเห็นของคุณมีสีส้ม , สีเหลืองและสีแดงในผักและผลไม้ที่เรียกว่า Carotenoids ทีหลายร้อย Carotenoids แต่คนที่พบมากที่สุดที่พบในทวีปอเมริกาเหนือเป็นอาหารแคโรทีนอัลฟา ,เบต้าแคโรทีน , เบต้าคริบโตเซนติน , ลูทีน , ซีเซนทิน และไลโคปีน Carotenoids เรียกว่า phytonutrients , ระยะที่อธิบายธาตุอาหารพืชที่ได้จาการยืนยันความสำคัญต่อสุขภาพของมนุษย์ ร่างกายของเราจะแปลงคาโรทันนอยด์ให้เป็นวิตามินเอในระหว่างการย่อยอาหาร สำหรับโปรวิตามินคาโรทีนอยด์ ยังไม่มีข้อบ่งชัดว่าควรบริโภคกี่หน่วยในหนึ่งวันแต่ที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ ประเทศสหรัฐอเมริกาแนะนำให้ทุกคนที่กินผลไม้หลากหลายชนิดที่อุกมด้วย carotenoid และผักทุกวัน โดยเฉลี่ยแครอทสองหัวมี carotenoids เพียงพอสำหรับร่างกายของคุณค่ะ

Vitamin C วิตามินซี ลดการเสี่ยงเป็นต้อกระจก

วิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลังอยู่มากมายในผลไม้และผัก น้ำส้มคั้นสดหนึ่งแก้วมีมากว่าร้อยละ 100 ของ RDA ของวิตามินซี วิตามินซีช่วยปกป้องคุณจากโรคหัวใจและยังเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันลดอาการหวัดได้อีกด้วย อย่างที่ราบกันดีในเรื่องสรรพคุณของวิตามินซี วิตามินซียังเป้นสิ่งที่สำคัญมากต่อตาของคุณอีกด้วย จากการศึกษาพบว่าการเสริมวิตามินซีอาจช่วยลดความเสี่ยงต้อกระและการเสื่อมสภาพของจอประสาทตา RDA ที่แนะนำสำหรับวัยรุ่น (อายุ 14-18) มี 75 มิลลิกรัมสำหรับเด็กผู้ชายและ 65 มิลลิกรมสำหรับผู้ชายและ 75 มิลลิกรัมสำหรับผู้หญิง หากคุณต้องเจอกับมลพิษควันเสียต่างๆ ผู้เชี่ยญชาญบางคนแนะนำว่าคุณต้องการวิตามินซีในปริมาณที่มากขึ้นขั้นต่ำคือ 250 มิลลิกรมในแต่ละวัน ในขณะที่อีกหลายตำราบอกว่าประมาณ 1,000 มิลลิกรัมต่อวันเพื่อต่อสู้กับผลกระทบการเกิดออกซิเดชั่นของมลพิษทางอากาศและควันบุหรี่

Vitamin E รักษาสายตากับวิตามืนอี

วิตามินอี สารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพและช่วยให้ร่างกายของคุณสร้างแซลล์เม็ดเลือดแดง นอกจากนี้ยังอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดและป้องกันโรคมะเร็งบางชนิด การศึกษายังแนะนำว่าวิตามินอีอาจช่วยรักษาสายตาดีตลอดชีวิตของคุณโดยการลดความเสี่ยงของต้อกระจกและกสารเสื่อมสภาพ

จะพบได้ในอัลมอนด์ , เมล็ดทานตะวัน , hazelnuts , เนยถั่ว , ผักขม , อะโวคาโด , น้ำมันมะกอกและเมล็ดธัญพืช สำหรับการบริโภควิตามินอีกอยู่ที่ประมาณ 15 mg (22.5 IU) สำหรับวัยรุ่นและผู้ใหญ่

วัยรุ่นเป็นเวลาดีที่สุดที่จะเริ่มพัฒนานิสัยการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณกำลังรับประทานอาหารที่เหมาะสมในช่วงเวลาที่มีเคล็ดลับง่ายๆ ท่องไว้ว่าจงกินผักใบเขียวเป็นส่วนหนึงของอาหารทุกครั้งและสำหรับของว่างเลือกกินถั่วเปลือกแข็ง ขั้นตอนง่ายๆ เหล่านี้คุณก็จะได้สารอาหารที่คุณจำเป็นเพื่อสายตาที่ดีตลอดไปค่ะ

สุดยอดอาหาร (ดวง)ตา สำหรับวัยทีน




สุดยอดสายอาหารแหล่งสารอาหารแนะนำต่อหน่วยบริโภค
Vitamin Aตับ , ตับไก่ , น้ำมันตับปลา , นม และไข่ผู้ชาย 900 ไมโครกรัม
ผู้หญิง 700 ไมโครกรัม
Carotenoidsผักคะน้า , ผักขม , ใบผักกาดหอม ,
แครอท , พริกหวาน , มะเขือเทศ ,
น้ำมะเขือเทศ , มันเทศ , บรอคโคลี่ ,
แตงโม , ส้มโอสีสมพู , แอปริค็อท
ยังไม่ได้ระบะชัด
แต่ทีแนะนำคือประมาณ
แครอท 2 หัว
Vitamin Cส้ม , น้ำส้ม , พริกสีแดงและสีเขียว ,
ส้มโอ , สตรอเบอร์รี่ , บรอคโคลี่
และผักคะน้า
ผู้ชาย 75 ไมโครกรัม
ผู้หญิง 65 ไมโครกรัม
Vitamin Eอัลมอนด์ , เมล็ดทานตะวัน ,
hazelnuts , เนยถั่ว , ผักขม ,
อะโวคาโด , น้ำมันมะกอก และเมล็ดธัญพืช
ผู้ชาย 15 ไมโครกรัม
ผู้หญิง 15 ไมโครกรัม

ขอขอบคุณ นิตยาสารเพื่อนแพนฉบับที่ Vol.28 No.180 ISSUE 1/2554
food&Bytrution : 52A-53A

http://www.panclinic.com


วันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

The Colourful Beauty by Elisees

สาวๆ ที่รักการแต่งแต้มสีสันบนใบหน้า "เพื่อนแพน" ฉบับนี้จุใจกับคู่มือการแต่งหน้าที่จะทำให้คณสวยสะกดใจได้เพียงขั้นตอนง่ายๆ ที่ไม่ยุ่งยากแม้แต่มือใหม่หัดแต่งยังสามารถทำได้อย่างมืออาชีพ เพราะเราได้ทำเทคนิคและทริคดีๆ มาฝาก ทำให้การแต่งแต้มสีสันและการเลือกผลิตภัณฑ์เมคอัพไม่ใช่เรื่องยาก เพียงนำความรู้ที่ได้ตากการอ่านนี้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์แต่นี้คุณก็สวยได้อย่างมืออาชีพเลยค่ะ...เรามาเริ่มจาก

Face
ก่อนอื่นคุณสาวๆ ต้องทราบถึงลักษณะของผิวแต่ละท่านก่อน ว่า ท่านมีผิวประเภทไหน ผิวแห้ง , ผิวมัน , ผิวผสม หรือ ผิวแพ้ง่าย เพราะนั่นเป็นขั้นแรกในการเลือกผลิตภัณฑ์สำหรับผิวหน้าของคุณ สำหรับผิวมันให้มองหาคำอย่าง เช่น "ออยด์ฟรี" "ออยล์คอนโทรล" หรือ "mattifying" เพราะไม่ทำให้ผิวมันในระหว่างวัน สำหรับผิวแห้ง มองหา "hydrating" หรือ "moistuer-rich" เพราะหมายถึงคุณจะได้เติมความชุ่มชื้นให้กับผิวแม้กระทั่งตอนคุณแต่งหน้า ผิวแพ้ง่าย ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่าทดสอบแล้ว ไม่ก่อให้เกอดอาการแพ้และระคายเคือง ซึ่งมักระบุว่า "allergy-tested" ผิวผสม ควรเน้นการเลือกรองพื้นที่เน้นการให้ความชุ่มชื้นในสองข้างแก้มให้มาก ซึ่งเวลาทาควรเน้นที่สองข้างแก้ม และทาในบริเวณ T-zon แต่น้อย เป็นต้น เรามาดูลักษณะของครีมรองพื้นที่เหมาะกับสภาพผิวของแต่ละคนกันดีกว่าค่ะ...

1. Liquid Foundation เป็นรองพื้นชนิดน้ำที่มีเนื้อบางเบา มอบผิวเนียนละไม โดยไม่บดบังความงามตามธรรมชาติของผิวพรรณ การใช้รองพื้นแบบ Liquid จึงทำให้คุณดูสวยใสแบบธรรมชาติ เหมาะกับผู้ที่มีสภาพผิวค่อนข้างมัน ผิวผสม และ ผิวธรรมดา

2. Stick foundation เป็นรองพื้นชนิดแท่ง ที่มีความสามารถในการปกปิดได้สูง เช่นเดียวกับคอนซีลเลอร์ อาจใช้เสริมกับรองพื้นชนิดอื่นๆ บริเวณที่มีปัญหา เช้น อำพรางร่องรอยของ ฝ้า กระ จุดด่างดำได้เนียนสนิท เหมาะกับคนที่มีผิวแห้ง ผิวผสม และ ผิวธรรมดา

3. Cream Foundation มักนิยมใช้ปกปิดผิวที่มีปัญหา ให้ความบางเบาแล้วยังปกปิดได้ดีเยี่ยม ซึ่งเมคอัพอาร์ติสต์ส่วนใหญ่ นิยมใช้กับผิวที่ต้องการความสวยสมบูรณ์แบบ และต้องการปกปิดที่ดี เหมาะกับผู้ที่มีผิวแห้งและผิวธรรมดา

4. Tinted moisturizer with SPF เป็นครีมรองพื้นช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและบำรุงผิวไปพร้อมๆ กับช่วยปกปิดและทำให้สีผิวเนียนเรียบเสมอกัน เหมาะสำหรับสาวๆ ที่ไม่ชอบยุ่งยากใช้ครีมหลายๆ ตัว เพราะ Tints จะมีส่วนผสมของ Moisturizer และกันแดดรวมคุณค่าสามประโยชน์เข้าด้วยกันนั่นเอง

http://www.panclinic.com


วันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

7 Men's Skin Care Secrets เผยความลับสู่ผิวหน้าใส

เรื่องที่เขียนนี้มาจากหน่มๆ เพื่อนๆ ที่เรามองหน้าแล้วรู้สึกว่าแก่กว่าอายุ คืออายุเพียง 25 แต่มีริ้วรอยบริเวณหน้าผากและหางตาค่อนข้างเยอะ เป็นเพราะความเครียดจากหน้าที่การงานและอีกประการหนึ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญคือการขาดการดูแลผิวที่ถูกวิธี จากการสอบถามเรื่องการดูแลผิวพรณของหนุ่มๆ คือ วันหนึ่งล้างหน้าตอนอาบน้ำ และก่อนนอนคือจบ นั่นคืออย่างเดียวที่หนุ่มๆ มักคิดว่า การล้างหน้าให้สะอาดคือการดูแลผิวพรรณแล้ว แต่หารู้ไม่ว่า ปัจจัยหลายๆ อย่างที่รุมเร้าในปัจจุบัน ทั้งมลภาวะ ความเครียด และแสงแดดทำร้ายผิวพรรณของคุณ ดังนั้นการบอกว่าการล้างหน้าให้สะอาดหรือกระบวนการทั้งหมดของการดูแลผิวของหนุ่มๆ จึงไม่ใช่อีกต่อไปค่ะ...


1. ลืมเรื่องน้ำและสบู่ในการทำความสะอาดผิวหน้า
ดูแลผิวผู้ชายต้องทำความสะอาดงานหนักในที่นี้หมายถึงคุณหนุ่มๆ ไม่ควรทำความสะอาดผิวหน้าแค่น้ำและสบุ่ เพราะไม่เพียงพอสำหรับผิว ผิวของเราดึงดูดสิ่งสกปรกมากเพราะรูขุมขนมีขนาดใหญ่และผิวหนังของผู้ชายคือ "เหนียวและหนา" ทำให้น้ำมันและสิ่งสกปรกเกาะติดใบหน้าของหนุ่มๆ มากกว่าของผู้หญิง ดังนั้นสบู่และน้ำไม่สามารถทำความสะอาดและขจัดความมันผิวของคุณได้


2. การใช้วิตามินอีให้ความชุ่มชื้น
มอยส์เจอร์ไรเซอรืที่อุดมไปด้วย Vitamin E จะช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยและเส้นรอยตีนกา มันเป็นส่วนผสมที่สำคัญต่อต้านริ้วรอยสำหรับผิวของคุณและจำเป็นสำหรับการดูแลผิวหน้าผู้ชาย


3. ดูแลดวงตาของคุณ
ริ้วรอยและเส้นรอยตีนกาแรกจะปรากฏใต้ตาของคุณ สำหรับการดูแลผิวหน้าผู้ชายสิ่งสำคัญอีกอย่างที่ไม่ควรละเลยคือบริเวณรอบดวงตา การมีดวงตาที่ดี ก็เป็นจุดสนใจอย่างหนึ่ง ถ้าดวงตาดูเมื่อยล้า ไม่สดใส แถมด้วยริ้วรอย สาวๆ ที่ไหนเห็นคงไม่อยากสบตาเป็นแน่ จึงไม่ควรลืมที่จะทาครีมบำรุงรอบดวงตาเพื่อให้กระชับ และลดเลือนริ้วรอบนะคะ


4. เลือกผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ
ดูแลผิวผู้ชายสิ่งที่ช่วยขจัดเซลล์ที่ตายแล้ว ต้องมีผู้ช่วยในการขัดซักหน่อย นั่นคือฟองน้ำที่ใช้ขัดตัว และชำระล้างร่างกาย ส่วนผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิว ลองดูส่วนผสมที่เป็นธรรมชาติเพราะจะได้ไม่แพ้ และมีปัญหาผิวตามมาอีกนะคะ


5. Hydrate จำเป็นต่อผิว
มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่มีส่วยผสมของไฮเดรตจะช่วย กักเก็บความชุ่มชื้นเอาไว้กับผิว จึงทำให้ผิวพรรณแลดูเป็นธรรมชาติและชุ่มชื้นมากขึ้น ลองมาหาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของไฮเดรตดูนะคะ ภายใน 2 สัปดาห์คุณจะสังเกตเห็นผลการเปลี่ยนแปลงในผิวพรรณของคุณ


6. Exfoliate ผิวของคุณ
Exfoliating หมายถึงการขจัดผิวที่ตายที่อุดตันรูขุมขนอยู่ทำให้หน้าหมองคล้ำเพื่อเผยผิวชั้นใหม่ การดูแลผิวหน้าผู้ชายอาศัย exfoliation ผิวผู้ชายไม่ได้แต่งแต้มสีสันหรือใช้ make up ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะทำการขจัดผิวที่ตายแล้วเพื่อเผยผิวใหม่ที่สดใสควรทำอย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์


Exfoliate ผิวของคุณทำโดยการขัดผิวหน้า ลองหาโฟมล้างหน้าที่มีเม็ดบีด หรือการใช้ Cleansing Cream เพื่อการทำความสะอาดที่ล้ำลึกและเป็นขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้ออกมาพร้อมกับการ Clean ด้วย Cleansing Cream ค่ะ


7. ผ่อนคลายผิวหน้าด้วยการทำทรีทเม้นท์
ผิวผู้ชายต้องการปรนนิบัติเช่นเดียวกันนะคะ การทำทรีทเม้นท์เป็นการผ่อนคลายผิวจากความเครียด มลภาวะ และปัจจัยต่างๆ ที่ทำร้ายผิวพรรณ อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง จะทำให้ผิวหน้าหนุ่มๆ ใสสะกดใจสาวแน่นอนค่ะ


หนุ่มๆ ทั้งหลายที่ยังหมกหมุ่นอยู่กับงานจนลืมดูแลตัวเองต้องปรับเปลี่ยนนิสัยกันแล้วนะคะ เพราะว้นหนึ่งคุณส่องกระจกดูแล้วหน้าของคุณแก่เกินอายุคงต้องมานั่งแก้ไขและใช้เวลามากกว่าที่จะเริ่มดูแลตั้งแต่เริ่มต้นนะคะ เริ่มตั้งแต่วันนี้จาก List ขั้นตอนง่ายๆ ข้างต้น หนุ่มๆ ก็หน้าใสได้ง่ายๆ แล้วค่ะ หรือเข้ามารับบริการและปรึกษาได้ที่ แพนคลินิก ทุกสาขานะคะ รับรองการดูแลผิวผู้ชายไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปค่ะ




ขอขอบคุณ นิตยาสารเพื่อนแพนฉบับที่ Vol.28 No.180 ISSUE 1/2554
All About Men : 54A-55A

http://www.panclinic.com


วันพฤหัสบดีที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2554

4 BAD SKIN HABITS 4 นิสัยแย่ๆ ทำลายผิวสวย....เลือกผลิตภัณฑ์ผิดสุดๆ เห็นเป็นไม่ได้ต้องบีบ (สิว) หลงลืมที่จะทาครีมบำรุงบริเวณคอและ หน้าอก ละเลยดวงตาขอ

คุณเคยสังเกตหรือไม่นิสัยของคุณอาจก่อนให้เกิดปัญหาผิวโดยคุณไม่รู้ตัว บางครั้งคุณสาวๆ มักจะไม่ได้ใส่ใจสิ่งเล็กๆ หรือความเคยชินที่เราได้ทำเป็นประจำสม่ำเสมอเพราะว่านึกไม่ถึงจะก่อให้เกิดปัญหาผิวตามมาทีหลัง บางครั้งคิดว่า เอ!! ทำไมถึงมีสิว ทั้งที่ก็ใช้ผลิตภัณฑ์เดิมหรือมีรอยหมองคล้ำทั้งที่ก็ทาครีมกับแดดเป็นประจำสม่ำเสมอ แต่ใครจะทราบคะว่าความเคยชินที่เรียกว่า "นิสัย" อาจสร้างปัญหาให้ผิวสวยของคุณได้เช่นกัน เรามาดูนิสัยแย่ที่คุณอาจเป็นอยู่เลยค่ะ...

1. เลือกผลิตภัณฑ์ผิดสุดๆ (Picking the wrong Products)

การเลือกและใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ถูกต้องกับผิวของคุณเป็นการผิดพลาดอย่างมหาศาล Leslis Baumann แพทย์ผิวหนังจากไมอามี่ กล่าวว่า นี่คือสิ่งที่คุณควรทราบ

ผิวมัน : เลือก Cleansing ที่มีส่วนผสมของ salicylic acid และควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทเจล (Gel) หรือโลชั่น (Lotion) เพราะไม่ก่อให้เกิดความมันบนผิว และควรเลือกผลิตภัณฑ์มีคำว่า Non allergenic หรือ hypoallergenic ที่เป็นคำที่บ่งบอกว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวก่อให้เกิดการแพ้น้อยที่สุด

ผิวแพ้ง่าย : ทำความสะอาดใบหน้าด้วยครีมน้ำนม ควรเลือกครีมกันแดดที่ปราศจากน้ำหอมเพราะจะทำให้ผิวระคายเคืองได้ง่ายสำหรับกลุ่มลดเลือนริ้วรอยคุณสาวๆ ที่แพ้ง่ายลองมองส่วนผสมที่มี hyaluronic acid หรือ shea butter ค่ะ

ผิวผสม : เลือกที่จะใช้โฟมล้างหน้าสำหรับผิวมัน และเติมความชุ่มชื้นด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์แบบเบาสบายผิว แต่ต้องเติมความชุ่มชื้นให้มากขึ้นบริเวณที่แห้งด้วยนะคะ

ผิวแห้ง : ทำความสะอาดด้วยโฟมล้างหน้าแบบไม่มีฟอง และไม่ลืมที่จะทามอยส์เจอร์ไรเซอร์เลือกเป็นแบบครีมเพราะจะให้ความชุ่มชื้นได้มากกว่าแบบอื่น ส่วยผลิตภัณฑ์ในกลุ่มลดเลือนริ้วรอยควรเลือก retinol เพื่อผลัดเซลล์ผิว แต่มีข้อแม้ว่าไม่ควรใช้ทุกวันเพราะจะทำให้ผิวหน้ายิ่งแห้งไปกว่าเดิมนะคะ ควรใช้สลับกับผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ kinetin และ Matrixyl เพราะสองตัวนี้จะช่วยทำให้ผิวคุณแห้งน้อยลงค่ะ

2. เห็นเป็นไม่ได้ต้องบีบ (สิว) (Popping Zits) สิวเป็นสิ่งล่อตา ล่อใจสาวๆ แต่คุณทราบหรือไม่ค่ะว่าการบีบสิวจะผลักดันให้แบคทีเรียอยู่ลึกเข้าไปในรูขุมขนก่อให้เกิดการอักเสบติดเชื้อและทำให้เกิดแผลเป็นและเกือบสองเท่าของช่วงชีวิตของสิวเม็ดน้อยๆ (จากประมาณหนึ่งสัปดาห์ถึงสอง) หรือเรียกง่ายๆ ว่าสิวสุกแล้ว สาวๆ ก็จะชอบที่จะบีบเอาหัวสิวออกมาแต่ใครจะรู้ล่ะคะว่านั่นเป็นนิสัยแย่ๆ ที่ทำให้ผิวบริเวณรอบสิวของคุณเกิดการระคายเคืองมากขึ้น Dr. Jeffrey Dover แพทย์ผิวหนังจาก Boston นี่คือสิ่งที่คุณควรทำคือใช้ยารักษา benzoyl peroxide หรือ BP ที่มีไม่เกิน 2.5% ในเวลากลางคืน พอตื่นเช้ามาสิวเจ้ากรรมก็จะลดการอักเสบลง แต่สำหรับสิวถาวรควรใช้สารในกลุ่ม retinoid แต่ตัวยาชนิดนี้ต้องอยู่ในความควบคุมของแพทย์ ทางที่ดีนะคะเข้ามาปรึกษาที่ แพนคลินิก เพราะคุณหมอจะช่วยแนะนำการปราบสิวและไม่ทำให้เกิดรอบดำตามมาอีกต่างหาก อย่าซื้อยาใช้เองเป็นอันขาดและหยุดนิสัยการบีบสิวด้วยนะคะ



3. หลงลืมที่จะทาครีมบำรุงบริเวณคอและหน้าอก (Ignoring Your Neck and Chest) การดูแลผิวไม่ได้หยุดอยู่ที่เส้นขอบคางของคุณ สังเกตได้เลยค่ะ สาวๆ บางท่านมักจะทาครีมบำรุงหรือครีมกันแดดแค่บริเวณผิวหน้า แตคุณลงลืมบริเวณคอและหน้าอก ถ้าคะณใส่เสื้อแบบเปิดคอ เปิดไหล่ ผิวบริเวณนั้นได้สัมผัส หรือกระทบมลภาวะต่างๆ ไม่น้อยไปกว่าบริเวณผิวหน้าของคุณเช่นกัน แต่ผิวบริเวณคอและหน้าอกมักถูกหลงลืมจากคุณสาวๆ ที่จะดูแลให้อยู่ในระดับเดียวกับผิวหน้าของคุณ เอาเป็นว่าเริ่มใหม่ที่จะหันมาดูแลคอและหน้าอกให้ไม่ต่างไปกับผิวหน้าของคุณกันนะคะ

4. ละเลยดวงตาของคุณ (Neglecting Your Eyes) ผิวบริเวณรอบดวงดาของคุณเป็นผิวที่บอบบางที่สุด สิ่งแรกที่ควรต้องทำคือ การขยี้และขัดถูแรงๆ บริเวณรอบดวงตา ทุกครั้งที่คุณสัมผัสแรง ขยี้ หรือขัดถูจะทำให้หลอดเลือดที่อยู่บริเวณรอบดวงตาที่ละเอียดอ่อนจะก่อให้เกิดรอบคล้ำและริ้วรอยได้ง่าย Dr. Fracesca แพทย์ผิวหนังจาก New York กล่าวเตือนคุณสาวๆ ว่า ไม่ควรลืมที่จะทาครีมลดริ้วรอยบริเวณรอบดวงตา การเลือกผลิตภัณฑ์ควรดูที่มีส่วนผสมของ retinol , peptides หรือ zinc เพิ่มการผลิดอีลาสตินบริเวณรอบดวงตาค่ะ ทำให้กระชับ เต่งตึงขึ้น

หลากหลายนิสัยแย่ๆ ที่บรรดาสาวๆ คาดการณ์ไม่ถึงว่าทำร้ายผิวสวยได้เช่นกัน ยังมีอีกหลายๆ นิสัยไว้คราวหน้าเพื่อนแพนจะมาบอกกล่าวเพิ่มเติมอีกนะคะ

http://www.panclinic.com


วันพฤหัสบดีที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2554

TOP 5 TEEN SKIN PROBLEM 5 ปัญหาผิววัยทีน

วัยรุ่นในที่นี้คุณหมอขอระบุอายุคือตั้งแต่ อายุ 13-19 ปี (Teenage) ปัญหาผิวของวัยรุ่นในช่วงนี้มักเกิดขึ้นจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งในบทความนี้คุณหมอของยก 5 อันดับปัญหาวัยรุ่นที่คิดว่าทุกท่านผู้อ่านต้องประสบปัญหาเหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือมากกว่านี้ ในช่วงที่เป็นวัยรุ่น หรือน้องๆ ที่อยู่ในช่วงอายุนี้ คุณหมอจะขออธิบายปัญหาและการดูแล รักษาเพื่อให้ผิวของวัยทีน สดใส ไร้ปัญหามากวนใจค่ะ มาเริ่มที่อันดับ 1 กันเลยนะคะ...

Top Five Teen Skin Problem

1. สิว (Acne)

ช่วงวัยรุ่นมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศ ทำให้ร่างกายหลายระบบมีการเจริญเติบโต ซึ่งรวมถึงต่อมไขมันที่ทำงานมากเกินไป ทำให้เกิดการอุดตันบริเวณรูเปิดของรูขุมขน จนก่อให้เกิดสิวอุดตัน ถ้าปล่อยทิ้งไว้นานเข้า แบคทีเรียในรูขุมขน (P.acne) จะเจริญเติบโตขึ้น และย่อยสลายสิวอุดตัน เกิดเป็นกรดไขมันที่ระคายเคืองต่อผิวหนัง กลายเป็นสิวอักเสบ ในวัยรุ่นชายฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนเป็นสาเหตุให้เกิดการสร้างไขมันวัยรุ่นหญิงช่วงระหว่างรอบเดือนหลังการตกไข่ ฮอร์โมน (Luteinizing hormone) พุ่งสูงขึ้นทำให้เกิดการกระตุ้นต่อมไขมันให้ทำงานมากจึงเกิดสิวระหว่างรอบเดือนได้

การดูแลสิว 3 ขั้นตอน ง่ายๆ

1. ละลายหัวสิวและเร่งการผลัดเซลล์ผิว ผลิตภัณฑ์ที่สามารถหยุดการเกิดสิวอุดตันได้แก่ กลุ่มกรดวิตามินเอ (Retinoids) เช่น N-UVA , Roaccutane ซึ่งช่วยลดการทำงานของต่อมไขมันด้วย , กลุ่มกรดผลไม้ AHA,BHA ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว และลดรอยดำจากสิว มีอยู่ใน Acne treament นอกจากนี้อาจใช้เครื่องมือกดสิวหรือการใช้เลเซอร์ CO2 เปิดหัวสิวก็เป็นการเร่งการรักษาได้เช่นกัน

2. ทำลายเชื้อ P.Acne ด้วยยากลุ่ม CM lotion , BP, Panbex ยารับประทานประเภทยาปฏิชีวนะ การใช้แสงความเข้มสูง และ Acne Treatment

3. ลดการอักเสบ ผลิตภัณฑ์กลุ่ม Hydra medic มีสาร Salicylic , Cucumber extract , Greem tea , Licorice , Panderma ก็สามารถลดการอักเสบได้และควรใช้สารทำความสะอาดผิวที่อ่อนโยนกับผิว ไม่ระคายรูขุมขนควบคู่กันไปแต่ถ้าไม่ได้เจอคุณหมอแต่ต้องรีบไปออกงานโรงเรียนเย็นนี้ก็มีวิธีที่พอจะช่วยให้สิวอักเสบยุบลงได้เองที่บ้านโดยใช้ผ้าเช็นหน้าน่มๆ ชุบน้ำร้อนประคบบริเวณหัวสิวอักเสบทิ้งไว้จนหายร้อน ทำ 2-3 ครั้งต่อวัน ทำร่วมกับทายาแก้สิว เช่น P-spot ด้วย จะช่วยให้สิวแห้งเร็ว ไม่ควรใช้ Concealer ปกปิดสิวเพราะจะยิ่งทำให้สิวอุดตันแย่ลง ทางที่ดีควรใช้ตัวปกปิดแบบน้ำมีฤทธิ์ลอกผิวอ่อนๆ เช่น Hudramedic spot correction แต้มทิ้งไว้ทั้งคืน

เคล็ดลับการใช้ยารักษาสิวนานๆ ไปอาจจะทำให้ได้ผลไม่เหมือนช่วงแรกๆ ที่ใช้ ควรใช้ยาทีละ 2 ชนิดสลับกันภายในประมาณ 2-3 เดือน เพื่อช่วยให้ไม่ดื้อยา

2. หน้ามัน (Seborrhea)

ปัญหาของคนหน้ามัน เช่น หลังล้างหน้าไม่เกิน 2-3 ชม. หน้าก็มัน แต่งหน้าแล้วรองพื้นติดเป็นคราบ ทาครีมกันแดดก็ยิ่งมันทั้งเวลาดูรูปถ่ายในกล้อง คนหน้ามันจะดูหมองกว่าเพื่อน่ที่มีผิวหน้าธรรมดาและยังทำให้คนหน้ามันง่ายขาดความมั่นใจในการเข้าสังคม

หน้ามันมักพบบริเวณ T-Zone คือ หน้าผาก จมูก คาง เหตุที่หน้าเป็นบริเวณที่มีความมันมากกว่าที่บริเวณอื่นเช่น แขน ขานั้นเนื่องจากจำนวนต่อมไขมันบริเวณใบหน้ามีจำนวนมากว่า (ประมาณ 400-900 ต่อมต่อพื้นที่ผิว 1 ตารางเซนติเมตร ในขณะที่บริเวณอื่นมีประมาณ 100 ต่อมต่อพื้นที่ผิว 1 ตารางเซนติเมตร) จริงๆ แล้วการที่ผิวหน้าคนเราต้องมีการสร้างน้ำมัน (Sebum secretion) ก็เพื่อเป็นเกราะป้องกันไม่ให้น้ำในผิวหนังระเหยมากไปจนผิวแห้งและน้ำมันยังมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อบนผิวหนังได้ แต่ถ้าน้ำมันถูกสร้างออกมามากไป เช่นในช่วงวัยทีนที่ต่อมไขมันขยันทำงานมากไป หรือในโรงทางระบบประสาทบางอย่าง เช่น Parkinson หรือในเพศชายที่มักพบภาวะผิวมันได้มากกว่าเพศหญิง หรือความเครียดก็สามารถกระตุ้นให้หน้ามันได้ ที่สำคัญบางส่วนของคนที่มีปัญหาสิวมีสาเหตุจากหน้ามัน

การล้างหน้าด้วยสบู่บ่อยๆ เกินวันละ 2 ครั้งไม่ใช่ทางออกที่ดีเพราะความรู้สึกหลังล้างว่าหน้าแห้งตึงนั้น หมายถึงสบู่ล้างหน้านั้นทำลายสมดุลของความชุ่มชื้นของผิวหน้า ยิ่งอาจส่งผลเสียเสียตามมา เช่น หน้ายิ่งมันกว่าเดิมเพราะต่อมไขมันยิ่งพยายามสร้างน้ำมันมาเคลือบผิวหน้าใหม่หรือก่อให้เกิดความระคายเคืองกับผิวจนกลายเป็นผื่นแพ้ได้

วิธีที่พอจะช่วยบรรเทาอาการหน้ามันนอกจากจะใช้กระดาษซับมันแล้ว ปัจจุบันมีสาร Anti-shinecontrol มีในผลิตภัณฑ์ Shine control Pandermacare ที่มีส่วนประกอบของมะเฟือง (Starfruit extract) , Alcohol denat , Micronixed zinc,TiO2 ที่ช่วยดูดซับความมันและสามารถทาซ้ำหลังแต่งหน้าหรือทากันแดดได้ระหว่างวันที่รู้สึกว่าหน้ามัน ควรใช้ Tinted moisturizer with sillicone แทนพวก Foundation (ครีมรองพื้น) ที่มักไหลเยิ้มในหน้าร้อนและอุดตันในรูขุมขน

นอกจากนี้การทำเลเซอร์กลุ่ม Non-ablative เช่น Nd:YAG ,IPL ก็มีส่วนช่วยลดการทำงานของต่อมไขมันได้เช่นกัน การรับประทานอาหารที่มีวิตามินสูง เช่น แครอท แคนตาลูป ผักขม ลดการรับประทานแอลกฮอลล์และอาหารที่เผ็ดจัดอาจมีส่วนช่วยได้เช่นกัน

3. เหงื่อเยอะ

เหงื่อออกเยอะบริเวณ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ใต้วงแขน ศีรษะ ตัว ทั้งเวลาร้อนและเวลาเครียดโดยเฉพาะใต้วงแขน วิธีแก้ง่ายๆ คือ ต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของอลูมิเนียมคลอไรด์ ซึ่งมีอยู่ในผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย ระงับเหงื่อทั่วไป โดยจะไปอุดท่อต่อมเหงื่อ ถ้ายังไม่ได้ผลอีกอาจต้องไปพบแพทย์เพื่อใช้ยาลดเหงื่อ หรือฉีดโบท็อกซ์ เพื่อลดการหลั่งของสื่อประสาท (acetylcholine) ที่มีความเกี่ยวข้องกับการหลี่งเหงื่อ การใส่เสื้อผ้าที่ระบายเหงื่อง่าย เช่น ผ้าฝ้าย ใช้แผ่นรองในรองเท้า และเปลี่ยนรองเท้าที่ใส่บ้างเพื่อให้ระบายเหงื่อออกไป หลีกเลี่ยงอาหารเผ็ดร้อน หรือเครื่องดื่มร้อนๆ หากยังไม่หายมีวิธีดูดไขมันบริเวณใต้วงแขนเพื่อลดจำนวนต่อมเหงื่อ หรือ ผ่าตัดเส้นประสาทที่เกี่ยวข้องกับการหลั่งเหงื่อออกไป

4. หูด

มีลักษณะเป็นตุ่มนูนเล็กๆ สีเนื้อ ที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า หรือรอบเล็บมักพบในช่วงวัยรุ่น หูด คือ การติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งเกิดจากการมีแผลถลอกเล็กน้อย เป็นทางให้เชื้อไวรัสจากคนที่เป็นหูดเข้าสู่ผิวหนังแล้วแบ่งตัวอยู่ในชั้นใต้ผิวหนังเกิดเป็นตุ่มนูนขึ้น หูดอาจหายได้เองภายในเวลา 2 ปี

การรักษาทำได้หลายวิธี เช่น การพ่นความเย็น การทายาลอกหูด การทำเลเซอร์ การจี้ไฟฟ้า อย่างไรก็ตามการป้องกันการเกิดเป็นทางที่ดีที่สุดคือระวังอย่าให้เกิดบาดแผล เช่น บางคนชอบกัดเล็บ ทำให้เป็นแผลที่มือก็เป็นทางเข้าของเชื้อหูดได้

5. โรคผิวหนังแพ้ง่าย / ภูมิแพ้ผิวหนัง

โรคภูมิแพ้ผิวหนังสามารถเป็นได้ในเด็กอายุน้อย ไปจนกระทั่งเข้าสู่วัยรุ่น มีลักษณะเป้น ผื่นคันแห้งๆ ตามข้อพับ แขน ขา หน้า มักพบมีผื่นใต้ตา ถ้าขยี้ตาบ่อยๆ ก็จะเห็นเป็นเส้นได้ นอกจากนี้ในวัยรุ่นการเล่นกีฬาบางประเภทที่ใช้อุปกรณ์ใส่ที่หัวเข่าหรือข้อเท้าที่ทำให้เกิดการเสียดสีกับผิวหนังบ่อยๆ อาจกระตุ้นให้โรคภูมิแพ้เห่อมากขึ้นบริเวณนั้นได้

การดูแลรักษาหากเป็นโรคนี้ ได้แก่ ใช้ครีมอาบน้ำที่ไม่ระคายเคืองผิว เช่น ครีมอาบน้ำสำหรับเด็ก หลังอาบน้ำควรทาครีมให้ความชุ่มชื้นผิวทุกครั้งหากเกิดผื่นคันขึ้นแล้วควรไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อรับยาโดยเฉพาะ

ที่มา http://www.panclinic.com


Panclinic Club's Fan Box

Panclinic Club on Facebook