วันพฤหัสบดีที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2554

4 BAD SKIN HABITS 4 นิสัยแย่ๆ ทำลายผิวสวย....เลือกผลิตภัณฑ์ผิดสุดๆ เห็นเป็นไม่ได้ต้องบีบ (สิว) หลงลืมที่จะทาครีมบำรุงบริเวณคอและ หน้าอก ละเลยดวงตาขอ

คุณเคยสังเกตหรือไม่นิสัยของคุณอาจก่อนให้เกิดปัญหาผิวโดยคุณไม่รู้ตัว บางครั้งคุณสาวๆ มักจะไม่ได้ใส่ใจสิ่งเล็กๆ หรือความเคยชินที่เราได้ทำเป็นประจำสม่ำเสมอเพราะว่านึกไม่ถึงจะก่อให้เกิดปัญหาผิวตามมาทีหลัง บางครั้งคิดว่า เอ!! ทำไมถึงมีสิว ทั้งที่ก็ใช้ผลิตภัณฑ์เดิมหรือมีรอยหมองคล้ำทั้งที่ก็ทาครีมกับแดดเป็นประจำสม่ำเสมอ แต่ใครจะทราบคะว่าความเคยชินที่เรียกว่า "นิสัย" อาจสร้างปัญหาให้ผิวสวยของคุณได้เช่นกัน เรามาดูนิสัยแย่ที่คุณอาจเป็นอยู่เลยค่ะ...

1. เลือกผลิตภัณฑ์ผิดสุดๆ (Picking the wrong Products)

การเลือกและใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ถูกต้องกับผิวของคุณเป็นการผิดพลาดอย่างมหาศาล Leslis Baumann แพทย์ผิวหนังจากไมอามี่ กล่าวว่า นี่คือสิ่งที่คุณควรทราบ

ผิวมัน : เลือก Cleansing ที่มีส่วนผสมของ salicylic acid และควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทเจล (Gel) หรือโลชั่น (Lotion) เพราะไม่ก่อให้เกิดความมันบนผิว และควรเลือกผลิตภัณฑ์มีคำว่า Non allergenic หรือ hypoallergenic ที่เป็นคำที่บ่งบอกว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวก่อให้เกิดการแพ้น้อยที่สุด

ผิวแพ้ง่าย : ทำความสะอาดใบหน้าด้วยครีมน้ำนม ควรเลือกครีมกันแดดที่ปราศจากน้ำหอมเพราะจะทำให้ผิวระคายเคืองได้ง่ายสำหรับกลุ่มลดเลือนริ้วรอยคุณสาวๆ ที่แพ้ง่ายลองมองส่วนผสมที่มี hyaluronic acid หรือ shea butter ค่ะ

ผิวผสม : เลือกที่จะใช้โฟมล้างหน้าสำหรับผิวมัน และเติมความชุ่มชื้นด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์แบบเบาสบายผิว แต่ต้องเติมความชุ่มชื้นให้มากขึ้นบริเวณที่แห้งด้วยนะคะ

ผิวแห้ง : ทำความสะอาดด้วยโฟมล้างหน้าแบบไม่มีฟอง และไม่ลืมที่จะทามอยส์เจอร์ไรเซอร์เลือกเป็นแบบครีมเพราะจะให้ความชุ่มชื้นได้มากกว่าแบบอื่น ส่วยผลิตภัณฑ์ในกลุ่มลดเลือนริ้วรอยควรเลือก retinol เพื่อผลัดเซลล์ผิว แต่มีข้อแม้ว่าไม่ควรใช้ทุกวันเพราะจะทำให้ผิวหน้ายิ่งแห้งไปกว่าเดิมนะคะ ควรใช้สลับกับผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ kinetin และ Matrixyl เพราะสองตัวนี้จะช่วยทำให้ผิวคุณแห้งน้อยลงค่ะ

2. เห็นเป็นไม่ได้ต้องบีบ (สิว) (Popping Zits) สิวเป็นสิ่งล่อตา ล่อใจสาวๆ แต่คุณทราบหรือไม่ค่ะว่าการบีบสิวจะผลักดันให้แบคทีเรียอยู่ลึกเข้าไปในรูขุมขนก่อให้เกิดการอักเสบติดเชื้อและทำให้เกิดแผลเป็นและเกือบสองเท่าของช่วงชีวิตของสิวเม็ดน้อยๆ (จากประมาณหนึ่งสัปดาห์ถึงสอง) หรือเรียกง่ายๆ ว่าสิวสุกแล้ว สาวๆ ก็จะชอบที่จะบีบเอาหัวสิวออกมาแต่ใครจะรู้ล่ะคะว่านั่นเป็นนิสัยแย่ๆ ที่ทำให้ผิวบริเวณรอบสิวของคุณเกิดการระคายเคืองมากขึ้น Dr. Jeffrey Dover แพทย์ผิวหนังจาก Boston นี่คือสิ่งที่คุณควรทำคือใช้ยารักษา benzoyl peroxide หรือ BP ที่มีไม่เกิน 2.5% ในเวลากลางคืน พอตื่นเช้ามาสิวเจ้ากรรมก็จะลดการอักเสบลง แต่สำหรับสิวถาวรควรใช้สารในกลุ่ม retinoid แต่ตัวยาชนิดนี้ต้องอยู่ในความควบคุมของแพทย์ ทางที่ดีนะคะเข้ามาปรึกษาที่ แพนคลินิก เพราะคุณหมอจะช่วยแนะนำการปราบสิวและไม่ทำให้เกิดรอบดำตามมาอีกต่างหาก อย่าซื้อยาใช้เองเป็นอันขาดและหยุดนิสัยการบีบสิวด้วยนะคะ



3. หลงลืมที่จะทาครีมบำรุงบริเวณคอและหน้าอก (Ignoring Your Neck and Chest) การดูแลผิวไม่ได้หยุดอยู่ที่เส้นขอบคางของคุณ สังเกตได้เลยค่ะ สาวๆ บางท่านมักจะทาครีมบำรุงหรือครีมกันแดดแค่บริเวณผิวหน้า แตคุณลงลืมบริเวณคอและหน้าอก ถ้าคะณใส่เสื้อแบบเปิดคอ เปิดไหล่ ผิวบริเวณนั้นได้สัมผัส หรือกระทบมลภาวะต่างๆ ไม่น้อยไปกว่าบริเวณผิวหน้าของคุณเช่นกัน แต่ผิวบริเวณคอและหน้าอกมักถูกหลงลืมจากคุณสาวๆ ที่จะดูแลให้อยู่ในระดับเดียวกับผิวหน้าของคุณ เอาเป็นว่าเริ่มใหม่ที่จะหันมาดูแลคอและหน้าอกให้ไม่ต่างไปกับผิวหน้าของคุณกันนะคะ

4. ละเลยดวงตาของคุณ (Neglecting Your Eyes) ผิวบริเวณรอบดวงดาของคุณเป็นผิวที่บอบบางที่สุด สิ่งแรกที่ควรต้องทำคือ การขยี้และขัดถูแรงๆ บริเวณรอบดวงตา ทุกครั้งที่คุณสัมผัสแรง ขยี้ หรือขัดถูจะทำให้หลอดเลือดที่อยู่บริเวณรอบดวงตาที่ละเอียดอ่อนจะก่อให้เกิดรอบคล้ำและริ้วรอยได้ง่าย Dr. Fracesca แพทย์ผิวหนังจาก New York กล่าวเตือนคุณสาวๆ ว่า ไม่ควรลืมที่จะทาครีมลดริ้วรอยบริเวณรอบดวงตา การเลือกผลิตภัณฑ์ควรดูที่มีส่วนผสมของ retinol , peptides หรือ zinc เพิ่มการผลิดอีลาสตินบริเวณรอบดวงตาค่ะ ทำให้กระชับ เต่งตึงขึ้น

หลากหลายนิสัยแย่ๆ ที่บรรดาสาวๆ คาดการณ์ไม่ถึงว่าทำร้ายผิวสวยได้เช่นกัน ยังมีอีกหลายๆ นิสัยไว้คราวหน้าเพื่อนแพนจะมาบอกกล่าวเพิ่มเติมอีกนะคะ

http://www.panclinic.com


วันพฤหัสบดีที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2554

TOP 5 TEEN SKIN PROBLEM 5 ปัญหาผิววัยทีน

วัยรุ่นในที่นี้คุณหมอขอระบุอายุคือตั้งแต่ อายุ 13-19 ปี (Teenage) ปัญหาผิวของวัยรุ่นในช่วงนี้มักเกิดขึ้นจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งในบทความนี้คุณหมอของยก 5 อันดับปัญหาวัยรุ่นที่คิดว่าทุกท่านผู้อ่านต้องประสบปัญหาเหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือมากกว่านี้ ในช่วงที่เป็นวัยรุ่น หรือน้องๆ ที่อยู่ในช่วงอายุนี้ คุณหมอจะขออธิบายปัญหาและการดูแล รักษาเพื่อให้ผิวของวัยทีน สดใส ไร้ปัญหามากวนใจค่ะ มาเริ่มที่อันดับ 1 กันเลยนะคะ...

Top Five Teen Skin Problem

1. สิว (Acne)

ช่วงวัยรุ่นมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศ ทำให้ร่างกายหลายระบบมีการเจริญเติบโต ซึ่งรวมถึงต่อมไขมันที่ทำงานมากเกินไป ทำให้เกิดการอุดตันบริเวณรูเปิดของรูขุมขน จนก่อให้เกิดสิวอุดตัน ถ้าปล่อยทิ้งไว้นานเข้า แบคทีเรียในรูขุมขน (P.acne) จะเจริญเติบโตขึ้น และย่อยสลายสิวอุดตัน เกิดเป็นกรดไขมันที่ระคายเคืองต่อผิวหนัง กลายเป็นสิวอักเสบ ในวัยรุ่นชายฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนเป็นสาเหตุให้เกิดการสร้างไขมันวัยรุ่นหญิงช่วงระหว่างรอบเดือนหลังการตกไข่ ฮอร์โมน (Luteinizing hormone) พุ่งสูงขึ้นทำให้เกิดการกระตุ้นต่อมไขมันให้ทำงานมากจึงเกิดสิวระหว่างรอบเดือนได้

การดูแลสิว 3 ขั้นตอน ง่ายๆ

1. ละลายหัวสิวและเร่งการผลัดเซลล์ผิว ผลิตภัณฑ์ที่สามารถหยุดการเกิดสิวอุดตันได้แก่ กลุ่มกรดวิตามินเอ (Retinoids) เช่น N-UVA , Roaccutane ซึ่งช่วยลดการทำงานของต่อมไขมันด้วย , กลุ่มกรดผลไม้ AHA,BHA ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว และลดรอยดำจากสิว มีอยู่ใน Acne treament นอกจากนี้อาจใช้เครื่องมือกดสิวหรือการใช้เลเซอร์ CO2 เปิดหัวสิวก็เป็นการเร่งการรักษาได้เช่นกัน

2. ทำลายเชื้อ P.Acne ด้วยยากลุ่ม CM lotion , BP, Panbex ยารับประทานประเภทยาปฏิชีวนะ การใช้แสงความเข้มสูง และ Acne Treatment

3. ลดการอักเสบ ผลิตภัณฑ์กลุ่ม Hydra medic มีสาร Salicylic , Cucumber extract , Greem tea , Licorice , Panderma ก็สามารถลดการอักเสบได้และควรใช้สารทำความสะอาดผิวที่อ่อนโยนกับผิว ไม่ระคายรูขุมขนควบคู่กันไปแต่ถ้าไม่ได้เจอคุณหมอแต่ต้องรีบไปออกงานโรงเรียนเย็นนี้ก็มีวิธีที่พอจะช่วยให้สิวอักเสบยุบลงได้เองที่บ้านโดยใช้ผ้าเช็นหน้าน่มๆ ชุบน้ำร้อนประคบบริเวณหัวสิวอักเสบทิ้งไว้จนหายร้อน ทำ 2-3 ครั้งต่อวัน ทำร่วมกับทายาแก้สิว เช่น P-spot ด้วย จะช่วยให้สิวแห้งเร็ว ไม่ควรใช้ Concealer ปกปิดสิวเพราะจะยิ่งทำให้สิวอุดตันแย่ลง ทางที่ดีควรใช้ตัวปกปิดแบบน้ำมีฤทธิ์ลอกผิวอ่อนๆ เช่น Hudramedic spot correction แต้มทิ้งไว้ทั้งคืน

เคล็ดลับการใช้ยารักษาสิวนานๆ ไปอาจจะทำให้ได้ผลไม่เหมือนช่วงแรกๆ ที่ใช้ ควรใช้ยาทีละ 2 ชนิดสลับกันภายในประมาณ 2-3 เดือน เพื่อช่วยให้ไม่ดื้อยา

2. หน้ามัน (Seborrhea)

ปัญหาของคนหน้ามัน เช่น หลังล้างหน้าไม่เกิน 2-3 ชม. หน้าก็มัน แต่งหน้าแล้วรองพื้นติดเป็นคราบ ทาครีมกันแดดก็ยิ่งมันทั้งเวลาดูรูปถ่ายในกล้อง คนหน้ามันจะดูหมองกว่าเพื่อน่ที่มีผิวหน้าธรรมดาและยังทำให้คนหน้ามันง่ายขาดความมั่นใจในการเข้าสังคม

หน้ามันมักพบบริเวณ T-Zone คือ หน้าผาก จมูก คาง เหตุที่หน้าเป็นบริเวณที่มีความมันมากกว่าที่บริเวณอื่นเช่น แขน ขานั้นเนื่องจากจำนวนต่อมไขมันบริเวณใบหน้ามีจำนวนมากว่า (ประมาณ 400-900 ต่อมต่อพื้นที่ผิว 1 ตารางเซนติเมตร ในขณะที่บริเวณอื่นมีประมาณ 100 ต่อมต่อพื้นที่ผิว 1 ตารางเซนติเมตร) จริงๆ แล้วการที่ผิวหน้าคนเราต้องมีการสร้างน้ำมัน (Sebum secretion) ก็เพื่อเป็นเกราะป้องกันไม่ให้น้ำในผิวหนังระเหยมากไปจนผิวแห้งและน้ำมันยังมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อบนผิวหนังได้ แต่ถ้าน้ำมันถูกสร้างออกมามากไป เช่นในช่วงวัยทีนที่ต่อมไขมันขยันทำงานมากไป หรือในโรงทางระบบประสาทบางอย่าง เช่น Parkinson หรือในเพศชายที่มักพบภาวะผิวมันได้มากกว่าเพศหญิง หรือความเครียดก็สามารถกระตุ้นให้หน้ามันได้ ที่สำคัญบางส่วนของคนที่มีปัญหาสิวมีสาเหตุจากหน้ามัน

การล้างหน้าด้วยสบู่บ่อยๆ เกินวันละ 2 ครั้งไม่ใช่ทางออกที่ดีเพราะความรู้สึกหลังล้างว่าหน้าแห้งตึงนั้น หมายถึงสบู่ล้างหน้านั้นทำลายสมดุลของความชุ่มชื้นของผิวหน้า ยิ่งอาจส่งผลเสียเสียตามมา เช่น หน้ายิ่งมันกว่าเดิมเพราะต่อมไขมันยิ่งพยายามสร้างน้ำมันมาเคลือบผิวหน้าใหม่หรือก่อให้เกิดความระคายเคืองกับผิวจนกลายเป็นผื่นแพ้ได้

วิธีที่พอจะช่วยบรรเทาอาการหน้ามันนอกจากจะใช้กระดาษซับมันแล้ว ปัจจุบันมีสาร Anti-shinecontrol มีในผลิตภัณฑ์ Shine control Pandermacare ที่มีส่วนประกอบของมะเฟือง (Starfruit extract) , Alcohol denat , Micronixed zinc,TiO2 ที่ช่วยดูดซับความมันและสามารถทาซ้ำหลังแต่งหน้าหรือทากันแดดได้ระหว่างวันที่รู้สึกว่าหน้ามัน ควรใช้ Tinted moisturizer with sillicone แทนพวก Foundation (ครีมรองพื้น) ที่มักไหลเยิ้มในหน้าร้อนและอุดตันในรูขุมขน

นอกจากนี้การทำเลเซอร์กลุ่ม Non-ablative เช่น Nd:YAG ,IPL ก็มีส่วนช่วยลดการทำงานของต่อมไขมันได้เช่นกัน การรับประทานอาหารที่มีวิตามินสูง เช่น แครอท แคนตาลูป ผักขม ลดการรับประทานแอลกฮอลล์และอาหารที่เผ็ดจัดอาจมีส่วนช่วยได้เช่นกัน

3. เหงื่อเยอะ

เหงื่อออกเยอะบริเวณ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ใต้วงแขน ศีรษะ ตัว ทั้งเวลาร้อนและเวลาเครียดโดยเฉพาะใต้วงแขน วิธีแก้ง่ายๆ คือ ต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของอลูมิเนียมคลอไรด์ ซึ่งมีอยู่ในผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย ระงับเหงื่อทั่วไป โดยจะไปอุดท่อต่อมเหงื่อ ถ้ายังไม่ได้ผลอีกอาจต้องไปพบแพทย์เพื่อใช้ยาลดเหงื่อ หรือฉีดโบท็อกซ์ เพื่อลดการหลั่งของสื่อประสาท (acetylcholine) ที่มีความเกี่ยวข้องกับการหลี่งเหงื่อ การใส่เสื้อผ้าที่ระบายเหงื่อง่าย เช่น ผ้าฝ้าย ใช้แผ่นรองในรองเท้า และเปลี่ยนรองเท้าที่ใส่บ้างเพื่อให้ระบายเหงื่อออกไป หลีกเลี่ยงอาหารเผ็ดร้อน หรือเครื่องดื่มร้อนๆ หากยังไม่หายมีวิธีดูดไขมันบริเวณใต้วงแขนเพื่อลดจำนวนต่อมเหงื่อ หรือ ผ่าตัดเส้นประสาทที่เกี่ยวข้องกับการหลั่งเหงื่อออกไป

4. หูด

มีลักษณะเป็นตุ่มนูนเล็กๆ สีเนื้อ ที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า หรือรอบเล็บมักพบในช่วงวัยรุ่น หูด คือ การติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งเกิดจากการมีแผลถลอกเล็กน้อย เป็นทางให้เชื้อไวรัสจากคนที่เป็นหูดเข้าสู่ผิวหนังแล้วแบ่งตัวอยู่ในชั้นใต้ผิวหนังเกิดเป็นตุ่มนูนขึ้น หูดอาจหายได้เองภายในเวลา 2 ปี

การรักษาทำได้หลายวิธี เช่น การพ่นความเย็น การทายาลอกหูด การทำเลเซอร์ การจี้ไฟฟ้า อย่างไรก็ตามการป้องกันการเกิดเป็นทางที่ดีที่สุดคือระวังอย่าให้เกิดบาดแผล เช่น บางคนชอบกัดเล็บ ทำให้เป็นแผลที่มือก็เป็นทางเข้าของเชื้อหูดได้

5. โรคผิวหนังแพ้ง่าย / ภูมิแพ้ผิวหนัง

โรคภูมิแพ้ผิวหนังสามารถเป็นได้ในเด็กอายุน้อย ไปจนกระทั่งเข้าสู่วัยรุ่น มีลักษณะเป้น ผื่นคันแห้งๆ ตามข้อพับ แขน ขา หน้า มักพบมีผื่นใต้ตา ถ้าขยี้ตาบ่อยๆ ก็จะเห็นเป็นเส้นได้ นอกจากนี้ในวัยรุ่นการเล่นกีฬาบางประเภทที่ใช้อุปกรณ์ใส่ที่หัวเข่าหรือข้อเท้าที่ทำให้เกิดการเสียดสีกับผิวหนังบ่อยๆ อาจกระตุ้นให้โรคภูมิแพ้เห่อมากขึ้นบริเวณนั้นได้

การดูแลรักษาหากเป็นโรคนี้ ได้แก่ ใช้ครีมอาบน้ำที่ไม่ระคายเคืองผิว เช่น ครีมอาบน้ำสำหรับเด็ก หลังอาบน้ำควรทาครีมให้ความชุ่มชื้นผิวทุกครั้งหากเกิดผื่นคันขึ้นแล้วควรไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อรับยาโดยเฉพาะ

ที่มา http://www.panclinic.com


Panclinic Club's Fan Box

Panclinic Club on Facebook