วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ดื่มนมดีนะ

     นมเป็นอาหารที่มีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรงสมบูรณ์ นม 1 แก้ว (250 มล.) มีสารอาหารที่จำเป็น และเป็นประโยชน์กับร่างกายคนเรา ได้แก่

     แคลเซียมและฟอสฟอรัส ซึ่งเป็นธาตุที่สำคัญที่สุดในการสร้างกระดูก ฟัน และน้ำนม ดังนั้นเด็กในวัยเจริญเติบโต ผู้สูงอายุ หญิงมีครรภ์ และหญิงที่มีลูกอ่อนควรดื่มนมเป็นประจำ

     วิตามิน วิตามินเอ มีหน้าที่สำคัญต่อระบบสายตา , วิตามินบี B1 ช่วยในการทำงานของระบบประสาท หัวใจ และระบบขับถ่าย , B2 ช่วยในการทำงานของระบบประสาท และผิวหนัง , B6 ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเด็ก , B12 สร้างเซลล์ในโพรงกระดูก และเม็ดเลือดแดง วิตามินซี ช่วยเสริมสร้างกระดูก และฟันให้แข็งแรง สร้างภูมิป้องกันต้านทานโรค และทำลายสารพิษต่าง ๆ วิตามินดี ก่อให้เกิดการป้องกันความผิดปกติของกล้ามเนื้อ และลดไขมันในเส้นเลือด

     โปรตีน ซึ่งจะช่วยสร้างและบำรุงกล้ามเนื้อในร่างกาย ส่วนโปรตีนคุณภาพสูงที่ได้จากนมนี้จะมีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อโครงสร้างของโปรตีนในร่างกาย

      คาร์โบไฮเดรต : คาร์โบไฮเดรตของนม คือ น้ำตาลของแลคโตส (Lactose)แลคโตสเป็นอาหารของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งจุลินทรีย์พวกนี้จะอาศัยอยู่ในลำไส้เล็กของมนุษย์ ช่วยสร้างวิตามิน บี และ ควบคุมจุลินทรีย์อื่นๆ


เมื่อรู้ถึงคุณประโยชน์ของนมว่ามีมากมายขนาดนี้แล้ว มาดื่มนมกันอย่างน้อยวันละ 1 แก้วเพื่อร่างกายที่แข็งแรง


ที่มา : www.panclinic.com

วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555

โชว์แผ่นหลังไร้สิว ได้ไม่อายใคร


      ไม่ใช่เพียงแค่บนใบหน้าที่เป็นปัญหากวนใจเท่านั้นเจ้าสิวพากันผุดขึ้นที่หลังจนทำให้หลังเนียนเต็มไปด้วยตุ้มแดง ซึ่ง ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวที่หลังหลักๆแล้วมีอยู่ 2 ปัจจัยคือ 1.เกิดจากชีวิตประจำวันของเราเอง 2.เกิดจากฮอร์โมนของเรา วันนี้มีวิธีจัดการกับสิวบนหลังมาฝากสาวๆๆ

      สิวที่หลังมักขึ้นมาจากเหงื่อออกและแห้งไปกับตัว ควรอาบน้ำทันทีหลังเหงื่อออกแล้วเช็ดตัวให้แห้ง เปลี่ยนเสื้อที่แห้งสะอาด จะช่วย แนะนำให้มาใช้สบู่ก้อนที่มีคุณสมบัติที่ลดแบคทีเรีย 24 ชั่วโมง หรือสบู่ที่ใช้ในการรักษาสิวโดยเฉพาะ ก่อนนอนทายาป้องกันเชื่อแบตทีเรีย หรือยาลดการอักเสบของสิว ทาบริเวณหลังที่เกิดสิวก่อนนอนทุกครั้ง หลีกเลี่ยงการทาโลชั่นหรือออยล์บริเวณหลัง หลังจากอาบน้ำ สาว ๆ หลายคนมักจะใช้เบบี้ออยล์ทาทั่วตัว ขณะตัวเปียก ก่อนจะเช็ดตัว ซึ่งออยล์จะไปเพิ่มน้ำมันบนผิว ให้เกิดสิวได้โดยง่าย

ลองนำไปใช้กันดูค่ะ จะได้อวดแผ่นหลังกันได้อย่างไม่ต้องอายใครกันอีก



ที่มา : www.panclinic.com

วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2555

“กระ”ป้องกันให้ตรงจุดเผยผิวใสอย่างมั่นใจ


      หนึ่งปัญหาที่ทำให้สีผิวไม่กระจ่างใส ที่รบกวนใจหลายๆคนไม่ว่าจะหญิงหรือชาย ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องปัญหาจุดสีน้ำตาลที่เรียกว่า “กระ”

กระ (Freckle) คือ อะไร
      กระ คือ ความผิดปกติของสีผิว มีลักษณะเป็นจุด (Macule) สีน้ำตาล มักเกิดกระจายอยู่ทั่วใบหน้าพบได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชายกระ อาจจะนูนหรือไม่นูนก็ได้ขึ้นกับชนิดของกระ

กระ แบ่งเป็น 4 ประเภท ดังนี้
      1. กระตื้น ลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาลเล็กๆ มีขนาดไม่เกิน 0.5 เซนติเมตร ขอบเขตไม่ชัดเจน และมักพบกระจายทั่วใบหน้า ถ้าโดนแดดสีมักจะเข้มขึ้น แต่ถ้าไม่โดนแดดนานๆ สีมักจะจางลงได้เอง

     2. กระลึก ลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาลเทาๆ เห็นเป็นเงาลึกๆ ส่วนใหญ่อยู่บริเวณโหนกแก้ม 2 ข้าง

     3. กระเนื้อ มีลักษณะเป็นตุ่มสีน้ำตาล หรืออาจเป็นสีดำ จะเป็นก้อนเล็กๆ ผิวเรียบหรือขรุขระก็ได้ บางครั้งดูคล้ายหูด มักพบบริเวณใบหน้า คอ หรือลำตัวก็ได้

     4. กระแดด มีลักษณะเป็นดวงสีน้ำตาล ผิวเรียบ ส่วนใหญ่พบในคนสูงอายุหรือคนที่ต้องทำงานอยู่กลางแสงแดดเป็นเวลานาน

สาเหตุของการเกิดกระ

     1. พันธุกรรม

     2. แสงแดด

การป้องกันและรักษา
      1. หลีกเลี่ยงแสงแดดให้มากเท่าที่จะมากได้ แต่ถ้าหลีกเหลี่ยงใม่ได้ควรจะสวมหมวกหรือเสื้อแขนยาวเพื่อป้องกันแสงแดด

     2. ทาครีมกันแดดสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเผชิญแสงแดดน้อยหรือมากก็ตาม เพราะแสงแดดจะเป็นตัวกระตุ้นให้สีเข้มขึ้น

     3. สามารถรักษาโดยใช้เลเซอร์ ควรดูแลบริเวณที่ทำการรักษาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะกรณีที่ใช้เลเซอร์

     ปัญหาผิวต่างๆเหล่านี้ล้วนมีสาเหตุและที่มา การป้องกันจึงเป็นแนวทางการดูแลผิวพรรณที่ดีที่สุด ควรดูแลเรื่องครีมบำรุงและครีมกันแดดให้มากขึ้น เพราะถ้าหากละเลยแล้วอาจจะทำให้กระกลับมาขึ้นเหมือนเดิม




ที่มา : www.panclinic.com

วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ดูแลปรนนิบัติผิวบอบบางแพ้ง่าย




ผิวแพ้ง่าย บอบบาง (Sensitive Skin)
คือสภาวะที่ผิวไวต่อสภาพแวดล้อมภายนอก อาทิเช่น อากาศร้อน หนาว แสงแดด หรือสายลม และแม้แต่การทาผลิตภัณฑ์ใดๆไว้บนผิวเป็นระยะเวลาหนึ่ง จะมีอาการ เช่น คัน แห้งตึง ไหม้ บางครั้งอาจพบสิวอุดตันและสิวหนอง และบางครั้งก็เกิดที่ระบบภูมิคุ้มกันทำให้เกิดการแดง หรือแห้งลอกได้ ไม่ว่าจะเป็นผิวหน้าหรือผิวกาย

ปัจจัยที่ทำให้เกิดผิวแพ้ง่ายและตัวกระตุ้น

1.ปัจจัยภายนอก คือ ถูกกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ เช่น แพ้แดด , แพ้ฝุ่น,แพ้อากาศ , แพ้เครื่องสำอาง

2. ปัจจัยภายใน มีแนวโน้มเกิดจากพันธุกรรม


การดูแลผิวบอบบางแพ้ง่าย

- ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของสารที่สงสัยว่าอาจจะเกิดอาการแพ้ สิ่ งที่ผิวมักแพ้บ่อยๆ คือน้ำหอม สารกันเสีย กรด AHA ต่างๆ และ แอลกอฮอล์ หากเครื่องสำอางมีสารเหล่านี้อยู่ ก็ควรเลี่ยงไว้ก่อน

- ควรเลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่อ่อนโยนต่อผิว หรือชนิดไม่มีฟองและเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติ Nickel Block เพื่อให้ผิวสามารถทนต่อการสัมพัสสารนิกเกิลได้นานขึ้น (เช่น ผลิตภัณฑ์ Pan Dermacare)

- เน้นการบำรุงผิวให้มาก ทากันแดดให้หนาพอ และทาสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงแสงแดด ทานอาหารเสิมกลุ่ม EPO ซึ่งสกัดมาจากดอก Evening primrose oil จะลดอาการแพ้ง่ายและทำให้ผิวแข็งแรงเร็วขึ้น ร่วมกับหารทำทรีทเม้นท์กลุ่มบำรุงผิว

เมื่อรู้ว่าปัจจัยที่มีผลทำให้ผิวเกิดการแพ้ไม่อยากให้ปัญหาผิวเกิดขึ้นบ่อย ๆ ซ้ำ ๆ จนน่ารำคาญ ดังนั้นผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายจึงควรระมัดระวังและดูควรดูแลมากกว่าผิวประเภทอื่นให้เป็นพิเศษไม่ว่าจะการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ และการกิน



ที่มา : http://www.panclinic.com

วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

TACTICS ง่ายๆเพิ่มความเปล่งปลั่งเรียบเนียนให้ผิวกาย




อยากมีผิวพรรณเปล่งปลั่งและเนียนนุ่มให้แก่ผิวกาย วันนี้มี TACTICS วิธีดูแลผิวกาย มาบอก


     1. แช่น้ำนม : ถ้าคุณมีนมสดเหลืออยู่ในตู้เย็น ก็นำมาผสมกับน้ำในอ่างอาบน้ำ แล้วเติมน้ำมันมะกอกลงไปสองสามหยด นมสดจะทำหน้าที่เป็นมอยสเจอไรเซอร์ตามธรรมชาติ ส่วนน้ำมันมะกอกจะช่วยทำให้ผิวของคุณนุ่มขึ้นเป็นพิเศษ

     2. ขัดผิวกาย : โดยผสมเกลือ 1 ถ้วย เข้ากับน้ำมันมะกอก 1 ถ้วย จากนั้น เติมน้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่คุณชอบลงไปสองสามหยด แล้วนำมาขัดผิวกายเป็นแนววงกลมตามปกติก่อนจะล้างออกด้วยน้ำสะอาด

     3. ดื่มน้ำมาก ๆ : ผิวที่ขาดน้ำก็ต้องแก้ด้วยการดื่มน้ำนี่แหละค่ะ นอกจากทำให้ร่างกายสดชื่น ผิวพรรณก็จะดูสดชื่นเปล่งปลั่งตามไปด้วย แบบนี้เป็นทั้งการเติมน้ำให้ผิวจากภายใน และได้ผลที่ดีกับทั้งร่างกายเลยนะ ใครไม่ที่ค่อยชิน ช่วงแรก ๆ อาจจะเข้าห้องน้ำบ่อยหน่อย แต่เดี๋ยวร่างกายก็จะเริ่มปรับตัวได้เองค่ะ

     4. อาหารเสริมบำรุงผิว : รับประทานอาหารเสริมจำพวกโปรตีนจากปลาทะเลลึก (Marine Protein) ซึ่งมีคุณสมบัติในการช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจนและอิลาสตินช่วยให้ผิวแต่งตึง เปล่งปลั่ง กระชับ เรียบเนียน และนวลนุ่มชุ่มชื่น,วิตามินซี (Vitamin C) สาร ต้านอนุมูลอิสระลดอาการหมองคล้ำ ความร่วงโรย เสริมสร้างปริมาณและความแข็งแรงของคอลลาเจน ช่วยให้โครงสร้างผิวพรรณแข็งแรงสุขภาพดีมีความยืดหยุ่นกระชับและขาวเนียนใส


     กินอย่างพอดีและออกกำลังกายสม่ำเสมอก็ช่วยให้สุขภาพและผิวพรรณของคุณดูสดใสเปล่งปลั่งอ่อนเยาว์ให้คนอื่นอิจฉา





ที่มา : www.panclinic.com

วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ครบทุกความต้องการกับสารพัดวิธีกำจัดขน



       เรื่อง ขน ขน อาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่จริงๆแล้วไม่เล็กเลย ขนก็สร้างปัญหาให้เราได้เช่นกัน เพราะเรื่องสวย ๆ งาม ๆ ก็เป็นเรื่องไม่เข้าใครออกใคร


      1. การโกน เป็นวิธีที่รวดเร็ว และไม่ยุ่งยาก โดยใช้ใบมีดสะอาดก็โกนขนส่วนเกินออกได้อย่างง่ายดาย ข้อเสียคือต้องทำบ่อย เพราะจะเกิดขนสั้น ๆ ขึ้นเร็วมาก และแข็ง

      2. การแว็กซ์ขน จะใช้ขี้ผึ้งไปจับเส้นขนให้ติดออกมา ซึ่งเป็นการกำจัดขนแบบถึงราก ช่วยให้ผิวเนียนนุ่มไร้ขน ได้นานประมาณ 1 เดือน ซึ่งมีให้เลือกทั้งแบบร้อนแบบเย็น

      3. กำจัดขนด้วยกระแสไฟฟ้า ทำได้โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะใช้เครื่องมือส่งกระแสไฟฟ้า ที่มีลักษณะเป็นเข็มเข้าไปจี้ทำลายต่อมขน ไม่ให้ขนสามารถขึ้นมาได้อีก แต่ในระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น เรียกว่าเป็นการชะลอการงอกของเส้นขนนั่นเอง

      4. การกำจัดขนโดยเลเซอร์ เป็นวิธีที่นำมาใช้ในปัจจุบันเป็นวิธีกำจัดขนที่สามารถหยุดการงอกของเส้นขนได้ในระยะยาว กำจัดเส้นขนได้ครั้งละมาก ๆ และสามารถกำจัดได้เกือบ80 % เแพทย์จะยิงเลเซอร์ตามบริเวณที่ต้องการกำจัดขน แสงเลเซอร์จะช่วยทำลายรากขน เพื่อไม่ให้ขนเกิดขึ้นมาได้ใหม่


ชอบแบบไหนสะดวกแบบไหนก็ลองนำไปใช้กันให้เหมาะสมกับตัวคุณก็แล้วกันนะคะ



ที่มา : www.panclinic.com

วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

หล่อ-สวย แบบใสใสหน้าไม่มัน



     หน้ามัน เป็นภาวะที่พบได้ทั้งชายและหญิง เนื่องจากมีอิทธิพลของฮอร์โมนเพศที่เพิ่มขึ้นไปกระตุ้นต่อมไขมันให้ทำงานมาก ขึ้น และสิ่งแวดล้อมก็มีส่วน การดูแลผิวพรรณสำหรับผู้ที่มีหน้ามัน ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ถูกต้องตามสภาพผิว ซึ่งการดูแลผิวขั้นพื้นฐานนั้นสำคัญที่สุด

     1. หนุ่มๆควรล้างหน้าวันละ 2-3 ครั้งต่อวัน แต่ไม่ควรมากกว่านี้ เพราะถ้ามากเกินไปก็จะทำให้ผิวหน้าแห้ง ใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่มีคุณสมบัติควบคุมความมัน (Oil Control หรือ Oil Free) เพราะจะควบคุมความมันบนใบหน้าได้ดีกว่าการใช้โฟมทั่วไปหรือสบู่อาบน้ำที่ทำ ให้ผิวแห้งเกินไปอีก

     2. ใช้มอยส์เจอไรเซอร์เพิ่มความชุ่มชื้น ควรเลือกชนิดปราศจากน้ำมัน (Oil-free) และไม่อุดตันรูขุมขน (Non-Comidogenic) และควรมีสารป้องกันแสง UV ที่จะมาทำลายผิวด้วย


     3. ควรล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น เพื่อเปิดรูขุมขนให้สามารถขจัดสิ่งสกปรกที่ฝังลึก จากนั้นล้างหน้าด้วยน้ำเย็นในน้ำสุดท้ายเพื่อกระชับรูขุมขน

      4. ใช้โลชั่นเช็ดหน้า (Toner) เพื่อกระชับผิวหน้า ควรเลือกใช้โลชั่นเช็ดหน้าที่มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่น้อยที่สุด เพราะแอลกอฮอล์จะทำให้ผิวหน้าแห้ง ทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้น เนื่องจากปัจจัยที่ผิวหน้ามันเพราะต่อมไขมันทำงานมาก ถือว่ามีความแตกต่างจากการที่ผิวหนังขาดความชุ่มชื้นจากการสูญเสียน้ำ

     5. พกกระดาษซับมันเพื่อลดอาการหน้ามันเยิ้มที่ทำให้ดูโทรม

การดูแลง่ายๆ เพียงเท่านี้ผิวของเราก็สุขภาพดีห่างไกลความมันแล้วค่ะ


ที่มา : http://www.panclinic.com

วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

อยากรักแร้ขาวยกแขนขึ้น


เชื่อว่าคุณผู้หญิงทุกท่านคงอยากจะมีรักแร้ที่ขาวเนียนเรียบอยู่เสมอ เพื่อที่จะได้สวมใส่เสื้อแขนกุด เสื้อสายเดี่ยว หรือเสื้อเกะอกกันได้อย่างมั่นใจ หรือยกแขนได้อย่ามั่นใจ

    1. ระวังการแพ้เครื่องสำอาง เช่น หลีกเลี่ยง โรลออน หรือ น้ำหอม ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นสาเหตุหลัก ที่ทำให้ผิวใต้วงแขนดำ

    2. ใช้โลชั่นที่มีส่วนผสมของไวท์เทนนิ่งทาบริเวณใต้วงแขน สีผิวที่คล้ำจะค่อย ๆ จางลง

    3. หลีกเลี่ยงการเช็ดถูแรงๆ เพราะบริเวณผิวใต้วงแขนเป็นผิวที่บอบบาง

    4. การทำเลเซอร์ ในการกำจัดเส้นขน และช่วยให้ผิวหนังบริเวณดังกล่าวเรียบเนียนและขาวขึ้น


และที่สำคัญควรรักษาความสะอาด หากผิวหนังของเราไม่สะอาด ไม่เพียงแต่รักแร้ดำเท่านั้นยังอาจส่งกลิ่นมาด้วย



ที่มา : http://www.panclinic.com

วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ครบทุกความต้องการกับสารพัดวิธีกำจัดขน

ครบทุกความต้องการกับสารพัดวิธีกำจัดขน

     เรื่อง ขน ขน อาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่จริงๆแล้วไม่เล็กเลย ขนก็สร้างปัญหาให้เราได้เช่นกัน เพราะเรื่องสวย ๆ งาม ๆ ก็เป็นเรื่องไม่เข้าใครออกใคร


     1. การโกน เป็นวิธีที่รวดเร็ว และไม่ยุ่งยาก โดยใช้ใบมีดสะอาดก็โกนขนส่วนเกินออกได้อย่างง่ายดาย ข้อเสียคือต้องทำบ่อย เพราะจะเกิดขนสั้น ๆ ขึ้นเร็วมาก และแข็ง

     2. การแว็กซ์ขน จะใช้ขี้ผึ้งไปจับเส้นขนให้ติดออกมา ซึ่งเป็นการกำจัดขนแบบถึงราก ช่วยให้ผิวเนียนนุ่มไร้ขน ได้นานประมาณ 1 เดือน ซึ่งมีให้เลือกทั้งแบบร้อนแบบเย็น

     3. กำจัดขนด้วยกระแสไฟฟ้า ทำได้โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะใช้เครื่องมือส่งกระแสไฟฟ้า ที่มีลักษณะเป็นเข็มเข้าไปจี้ทำลายต่อมขน ไม่ให้ขนสามารถขึ้นมาได้อีก แต่ในระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น เรียกว่าเป็นการชะลอการงอกของเส้นขนนั่นเอง

     4. การกำจัดขนโดยเลเซอร์ เป็นวิธีที่นำมาใช้ในปัจจุบันเป็นวิธีกำจัดขนที่สามารถหยุดการงอกของเส้นขนได้ในระยะยาว กำจัดเส้นขนได้ครั้งละมาก ๆ และสามารถกำจัดได้เกือบ80 % เแพทย์จะยิงเลเซอร์ตามบริเวณที่ต้องการกำจัดขน แสงเลเซอร์จะช่วยทำลายรากขน เพื่อไม่ให้ขนเกิดขึ้นมาได้ใหม่

ชอบแบบไหนสะดวกแบบไหนก็ลองนำไปใช้กันให้เหมาะสมกับตัวคุณก็แล้วกันนะคะ


ที่มา   :  http://www.panclinic.com

วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

หน้าหมอง..ทำไงดี

ผิวหมองคล้ำเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่ปรารถนา เวลาที่ผิวโดนแดดนาน ๆ จะสังเกตว่าหลายคนจึงมีผิวคล้ำขึ้นอย่างรวดเร็ว และใช้เวลานานหลายวัน หรือบางครั้งเป็นสัปดาห์ กว่าจะกลับมามีสีผิวเหมือนเดิมอีกครั้ง สาเหตุหลักๆ มีทั้งภายใน เช่น พันธุกรรม ภายนอกอย่างแสงแดด รังสียูวี และ มลภาวะ ก็เป็นตัวการเร่งอีกตัวหนึ่งที่สำคัญ แสงแดดสามารถทำให้เกิดริ้วรอยและความหมองคล้ำได้มากถึง 90% สีผิวจึงแลดูไม่สม่ำเสมอ และหมองคล้ำ
จะป้องกันอย่างไรดี

1. หลีกเลี่ยงแสงแดด รังสี UV
จากแสงแดดที่มาของการเกิดปัญหา เช่น สิว ริ้วรอย ผิวไหม้หรือแม้แต่มะเร็งผิวหนัง และผิวที่มีจุดด่างดำหมองคล้ำก็มีสาเหตุมาจากรังสี UV ด้วยเช่นเดียวกัน หลังได้รับรังสี UV ติดต่อกันไม่กี่วัน ผิวจะเริ่มผลิตเม็ดสีเมลานินออกมา ดูดซับ และกระจายรังสีออก ไม่ให้เข้ามาทำร้ายนิวเคลียสของเซลล์ ผิวไม่เพียงจะคล้ำขึ้น เซลล์ผิวชั้นบนก็จะหนาขึ้น หยาบ รูขุมขนดูกว้างขึ้น สามารถกลายเป็นปัญหาฝ้า กระ และจุดด่างดำ ในอนาคตได้
2. หลีกเลี่ยงความร้อน
การถูกความร้อนอยู่เป็นประจำ มีส่วนกระตุ้นให้สีผิวคล้ำขึ้นได้ โดยเฉพาะในผิวที่ไวต่อการเป็นฝ้า
3. เลี่ยงการรบกวนผิว
การกระตุ้นให้เซลล์ผิวสร้างสารก่อการอักเสบ เมื่อผิวเกิดภาวะอักเสบ จะกระตุ้นให้เกิดการสร้างเม็ดสีออกมามากผิดปกติได้
4. เลี่ยงการใช้ฮอร์โมน
การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกาย บางภาวะ จะกระตุ้นการทำงานของเซลล์สร้างเม็ดสี เช่น ในขณะตั้งครรภ์ วัยทอง เพราะรับประทานยาบางประเภท ที่ทำให้ไปกระตุ้นเซลสร้างเม็ดสีให้ผลิตเม็ดสีมากจนเกินไป บางคนในช่วงมีประจำเดือนจะสังเกตเห็นว่า กระและฝ้าสีเข้มขึ้น หรือหลังตั้งครรภ์ได้ 4-5 เดือน เกิดภาวะผิวหมอง และเป็นฝ้า หรือการได้รับยาคุมกำเนิดที่ทำให้ไปกระตุ้นให้ผลิตเม็ดสีออก
มามาก


ถ้าเกิดผิวหมองคล้ำและจุดด่างดำไปแล้ว เราสามารถจัดการกับความหมองคล้ำได้หลายระดับ เริ่มตั้งแต่ใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อผิวกระจ่างใส ทายาในกลุ่ม whitening ต่างๆ อย่างต่อเนื่องร่วมกับการทำ treatment เช่น treatment ผลัดเซลผิว , treatment เพื่อผิวกระจ่างใส อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องทุกๆ 1 สัปดาห์ หากต้องการตัวช่วยที่รวดเร็ว การใช้เครื่องมือแพทย์ เช่น IPL ก็ให้ผลที่ทันใจ และที่สำคัญหลีกเลี่ยงปัจจัยที่กล่าวมาแล้ว โดยเฉพาะแสงแดดค่ะ


ที่มา : www.panclinic.com

วันพฤหัสบดีที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2555

สารอาหารต้านอนุมูลอิสระ

หลายคนคงคุ้นหูกับคำว่า "อนุมูลอิสระ" กันมาบ้างแล้ว ซึ่งอนุมูลอิสระนี้เป็นตัวการก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพร่างกายต่างๆ ทั้งทำให้เกิดความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ การอักเสบ เนื้อเยื่อต่างๆ ถูกทำลาย การเกิดโรคมะเร็ง และโรคอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งการเกิดอนุมูลอิสระนั้นก็มาจากมลพิษในอากาศ จากควันบุหรี่ แสงแดด ฯลฯ อีกทั้งยังเกิดจากกระบวนการเผาผลาญของออกซิเจนภายในเซลล์ หรือเกิดจากการย่อยทำลายเชื้อแบคทีเรียของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย

แต่ในการกินนั้น ก็มีสิ่งที่จะช่วยต้านอนุมูลอิสระได้ ซึ่งก็มีสารอาหารอยู่ 3 สิ่งด้วยกันคือ วิตามินซี วิตามินอี และเบต้าแคโรทีน ที่จะช่วยต้านอนุมูลอิสระ สำหรับ "วิตามินซี" นั้น จะทำหน้าที่จับอนุมูลอิสระในเซลล์ที่เป็นของเหลว ป้องกันการถูกอนุมูลอิสระทำลาย อาหารที่มีวิตามินซีอยู่มากก็มักจะเป็นอาหารประเภทผลไม้ต่างๆ ซึ่งผลไม้ในประเทศไทยเราซึ่งมีวิตามินซีมากที่สุด 10 อันดับแรก ก็ได้แก่ 1.ฝรั่งกลมสาลี่ 187 มิลลิกรัม 2.ฝรั่งไร้เมล็ด 151 มิลลิกรัม 3.มะขามป้อม 111 มิลลิกรัม 4.มะขามเทศ 97 มิลลิกรัม 5.เงาะโรงเรียน 76 มิลลิกรัม 6.ลูกพลับ 73 มิลลิกรัม 7.สตรอเบอร์รี่ 66 มิลลิกรัม 8.มะละกอแขกดำสุก 55 มิลลิกรัม 9.พุทราแอปเปิ้ล 47 มิลลิกรัม และ 10.ส้มโอขาวแตงกวา 48 มิลลิกรัม




ที่มา : http://www.panclinic.com


วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2555

8 สิ่งง่ายๆ ที่ควรมีไว้ในฤดูร้อน







ร้อน ร้อน ร้อนนน เข้าสู่เดือนเมษายน ก็ต้องทนร้อนกันหน่อยแต่อย่าเพิ่งน้อยใจไปค่ะ ถึงจะร้อนแค่ไหนสาวๆ อย่างเราก็สวยเฟี้ยวและเปรี้ยวได้เช่นเดิม รีบไปเปิดสต็อกในกรุสมบัติที่บ้านดูว่ามีอะไรที่ยังเหลือ อะไรที่ขาด และต้องเตรียมอะไรไว้ในฤดูร้อนนี้่กันน๊า...

1. หมวก ; สิ่งจำเป็นในการเพิ่มสีสัน และลูกเล่นให้กับลุคการแต่งตัวได้เป็นอย่างดี ทำให้วันสดใสกลางแดดของคุณเพลินๆ ได้ไม่มียั้ง

2. ผ้าผูกผม ; อันนี้ต้องมีไว้ค่ะเพราะนอกจากจะเป็นผ้าผูกผมได้แล้ว ยังสามารถใช้ได้สารพัดประโยชน์อีกด้วย เช่น คลุมไหล่ รองนั่ง ผูกเอวให้ดูเก๋ไก๋ก็ยังได้นะคะ

3. ครีมกันแดด ; รับรองได้ว่าจำเป็นที่สุดสำหรับฤดูร้อนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องพกติดตัวกันไว้เลย เพราะไม่ว่าสาวๆ จะออกแดดก็จะใช้ทาได้ ซ้ำๆ ทุก 2-3 ชั่วโมง ผิวขาวของคุณจะได้ไม่ต้องดำคล้ำเสียไงค่ะ

4. บิกินี่ ; เป็นอีกชิ้นยอดฮิตสำหรับสาวๆ เลยค่ะ เพราะสมัยนี้ใครที่ได้ชื่อว่าเป็นสาวอินเทรนด์ต้องมีไว้ เผื่อวันไหนนึกอยากไปว่ายน้ำ หรืออาบแดดที่ทะเลขึ้นมา ก็ไม่ต้องเสียเวลา รีบคว้าเจ้าบิกินี่ตัวโปรดออกมาใส่ได้เลย

5. ขาสั้น ; ร้อนแบบนี้จะให้ใส่ขายาวรุงรังก็คงไม่ไหว แถมยังต้องตกเทรนด์ไปอีกต่างหาก สาวๆ ทั้งหลายควรมีไว้ในหน้าร้อนเช่นกันค่ะ

6. แว่นกันแดด ; เรียกได้ว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่ใครๆ ก็ต้องพกพาเพราะนอกจากจะเป็นอาวุธที่ช่วยในการอำพรางหน้าตาได้เป็นอย่างดีแล้วเจ้าแว่นตาก็่ถือเป็นองค์ประกอบอย่างหนึ่งในการแต่งตัวด้วย ถ้าออกจากบ้านแล้วพกแว่นตามาด้วยทุกครั้งก็มั่นใจในวันแดดจ้าได้เลย

7. รองเท้าแตะ ; ผ่อนคลายให้กล้ามเนื้อส่วนเท้าด้วยการใส่รองเท้าแตะบ้างในฤดูร้อน เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ดูแมตซ์กับสไตล์การแต่งตัวที่เรียบง่ายของคุณได้เป็นอย่างดี แค่นี้ก็เดินช๊อบปิ้ง วิ่งเล่นน้ำทะเลกันแบบชิลล์ๆ ได้แล้ว

8. น้ำหอม ; เป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ของสาวๆ ที่จะขาดไม่ได้ เพราะความหอมของคุณนี่แหละ ทำให้ใครๆ มักจะหลงใหลได้ง่ายๆ เพียงฉีดนิดพรมหน่อยก็ออกไปหอมหวานได้ตลอดทั้งวันแล้วค่ะ

เอาเป็นว่าไม่ว่าจะแต่งตัวแบบไหนหรือสวยอย่างไร ก็แล้วแต่สไตล์ใครสไตล์มัน แต่อย่าลืมดูกาลเทศะของสถานที่ที่จะไปว่าเหมาะสมหรือไม่ด้วยนะคะ


ที่มา :
http://www.panclinic.com


วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2555

ผดผื่นหน้าร้อนรักษาอย่างไรดี

เย้! ในที่สุดก็ถึงหน้าร้อนสักที สาว ๆ หลายคนคงรอคอยซัมเมอร์นี้กันอยู่ใช่ ไหมคะ ก็แหม..แดดสวย ทะเลใส ในหน้าร้อนอย่างนี้ เหมาะแก่การอวดหุ่นสวย ๆ ในชุดบิกินี่เป็นที่สุดเลย ... นอกจากหุ่นสวย ๆ ที่เพิ่มความมั่นใจให้กับสาว ๆแล้ว ผิวอันเนียนนุ่มก็สำคัญเช่นกัน ค่ะ ไม่ว่าสาว ๆ จะมีผิวสีอะไร ก็สามารถเผยผิวสวยได้แน่นอน แต่ก็มีสาว ๆ บางคนที่ไม่กล้าเผยผิวในหน้าร้อนเท่าไร นั่นก็เป็นเพราะเจ้าผดผื่นหน้าร้อนนี่ล่ะ ที่เป็นอุปสรรคในการเผยผิวสวยของสาว ๆ

สาว ๆ
เคยเป็นไหมค่ะ เวลาอยู่ท่ามกลางแสงแดดเป็นเวลา นาน มักจะเกิด ตุ่มแดง ๆ เม็ดเล็ก ๆ ขึ้นตามหน้าผาก คาง และส่วนต่าง ๆ ของใบหน้า หรือบริเวณลำตัว ในส่วนที่โดนแดด เช่น บริเวณหัวไหล่ ข้อพับ ฯลฯ และเคยสงสัยกันบ้างไหมค่ะว่า เจ้าตุ่มแดง ๆ นี้ เป็นสิวหรือผดผื่น วันนี้เรามีคำตอบมาฝากค่ะ

ตุ่มแดง ๆ
ที่ดูคล้ายเหมือนสิวเม็ดเล็ก ๆ เหล่านี้ ไม่ใช่สิวหรอกค่ะ แต่เป็นผดผื่นที่เกิดจากการเผชิญหน้า ต่อแสงแดดแรง ๆ เป็นเวลานาน อีกทั้งเจอมลภาวะทางสภาพแวดล้อม เช่น ฝุ่น ควัน ทั้งนี้ การได้รับแสงแดดในปริมาณมาก ๆ จะทำให้ผิวมัน และเกิดความร้อนชื้นบนผิวสูง สิ่งสกปรกพวกนี้ ก็จะเกาะติดผิวของสาว ๆ ได้ง่าย เป็นเพราะเหงื่อถูกผลิตออกมามากไปจะไปทำลายเซลล์ที่ชั้นผิว และเมื่อมีฝุ่นละออง หรือควันมาเกาะอยู่บนผิว ก็จะทำให้เหงื่อไม่สามารถระบายออกได้ จึงส่งผลให้ผิวของสาว ๆ เกิดผดผื่นได้ค่ะ

วิธีแก้ไข
ผดผื่นที่ดีที่สุดนั่นก็คือ การล้างหน้าให้สะอาด และชำระล้างร่างกายทันทีที่ถึงบ้าน หรือบางคนอาจจะทาครีมรักษาสิวจำพวก Benzoyl Peroxide หรือ Salicylic Acid บาง ๆ ในบริเวณที่เกิดผดผื่นดังกล่าว ก็จะช่วยกระชับผิวและกำจัดน้ำมันส่วน เกินออกไป แต่อย่าทาในปริมาณที่เยอะเกินไป เพราะจะทำให้ผิวแห้งได้ ไม่เช่นนั้น แทนที่ผดผื่นจะหาย กลับกลายได้สิวมาแทนที่ซะนี่

หรืออาจจะใช้สมุนไพรช่วยรักษาก็ได้ เพราะสรรพคุณของสมุนไพรบ้านเรา มีหลากหลายชนิดที่ช่วยลดผดผื่น ไม่ว่าจะเป็น ผลมะระ, ผลมะคำดีควาย ,เหง้าขมิ้น, พลู, ฟ้าทะลาย, ขมิ้นชัน อาจจะทำเองโดยการบดให้ละเอียดแล้วคั้นน้ำออก แล้วทาผิวหลังอาบน้ำเช้าเย็น หรืออาจจะซื้อเป็นผงสมุนไพรรักษาผดผื่นสำเร็จรูปก็ได้ค่ะ



เอ้า...หวังว่าเคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้จะช่วยให้สาว ๆ มีความมั่นใจกล้าเผยผิวในหน้าร้อนกันนะจ๊ะ





ที่มา : http://www.panclinic.com


วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2555

เคล็ดลับดูแลผิวสวย หลังแว็กช์ขน

เรื่องแว็กซ์ขนกับความสวยความงามของผู้หญิง ดูเหมือนจะกลายเป็นของคู่กันไปแล้ว เพราะสาว ๆ เดี๋ยวนี้ไม่ยอมให้เส้นขนเล็ก ๆ บาง ๆ หรือเส้นขนดก ๆ ดำ ๆ หนา ๆ มาบดบังความสวยงามของตัวเองอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการแว็กซ์ขนรักแร้ แว็กซ์ขนหน้าแข้ง แว็กซ์ขนแขน รวมไปถึงการแว็กซ์ขนตามจุดต่าง ๆ ในร่างกาย ล้วนเป็นที่นิยมของสาว ๆ รักสวยรักงามด้วยกันทั้งสิ้น แต่... เราจะดูแลผิวสวยของตัวเองอย่างไร ให้คงความนุ่ม ชุ่มชื่น และสวยงามเหมือนเดิมหลังจากการแว็กซ์ขน วันนี้กระปุกดอทคอมมีเคล็ดลับดี ๆ มาบอกค่ะ

-
หลังจากการแว็กซ์ขน คุณควรลดอาการเจ็บปวดแสบร้อน ด้วยการใช้ก้อนน้ำแข็งคลึงบริเวณที่แว็กซ์ จะช่วยลดอาการแสบร้อนได้ดี อาจใช้เจลที่ลดอาการแสบร้อนทาร่วมด้วย หรือใช้ว่านหางจระเข้ทาบาง ๆ ก็ช่วยได้ไม่น้อยค่ะ แถมยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวของคุณอีกด้วย

-
คุณสามารถขจัดรอยแดง และอาการคันบริเวณที่แว็กซ์ขน ด้วยการทาครีมแก้แพ้ ซึ่งสามารถช่วยลดอาการอักเสบได้ด้วยค่ะ

-
หากพบว่า คุณมักมีผื่นแดงขึ้นหลังการแว็กซ์ขนอยู่เรื่อย ๆ ควรบอกให้ช่างแว็กซ์ขนทราบ และเปลี่ยนใช้ผลิตภัณฑ์แว็กซ์ขนสูตรอื่นแทน โดยใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำขึ้นสำหรับผิวแพ้ง่ายโดยเฉพาะ

-
หลังการแว็กซ์ขน และอาการปวดแสบปวดร้อนหายแล้ว คุณควรทาครีมบำรุงผิวบริเวณที่แว็กซ์ขนเป็นประจำ เพื่อช่วยให้ผิวบริเวณนั้นมีความชุ่มชื่น นุ่ม และไม่ทำให้เป็นรอยด้านด่างดำ

-
หากเกิดอาการแพ้รุนแรง ควรรีบไปพบแพทย์

ง่าย ๆ แค่นี้ คุณก็สามารถมีผิวเนียนนุ่มหลังการแว็กซ์ขนได้แล้วล่ะค่ะ





ที่มา : www.panclinic.com




วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ปรนนิบัติผิวตามวัย

การดูแลผิวพรรณเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้หญิงทุกคน เพราะไม่ว่าผู้หญิงเราจะอยู่ในวัยไหนก็ตามย่อมต้องการให้ผิวพรรณคงความสวยเนียนใส เปล่งปลั่ง และแข็งแรงอยู่เสมอ ดังนั้น ผู้หญิงเราจึงใส่ใจและให้ความสำคัญกับการดูแลปรนนิบัติผิวเป็นพิเศษ แต่เราจะมีวิธีการดูแลผิวอย่างไรให้เหมาะกับสภาพผิวของตัวเอง เพราะนอกจากแต่ละคนจะมีลักษณะผิวที่ต่างกันแล้ว ผู้หญิงในแต่ละวัยก็ยังมีสภาพผิวที่ต่างกัน นั่นหมายถึงวิธีการดูแลผิวย่อมไม่เหมือนกันด้วย เราลองมาดูกันนะคะว่าคุณควรดูแลผิวอย่างไรให้เหมาะกับผิวในแต่ละวัย

วัย 15 - 20 ปี

เริ่มสู่วัยหนุ่มสาว สิวเป็นปัญหาผิวที่มาพร้อมกับวัยนี้เสมอ เพราะวัยรุ่นเป็นช่วงที่ฮอร์โมนเพศมีการเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ ยังมีตัวการอื่นๆ ที่กระตุ้นให้เกิดสิวอีกหลายอย่าง เช่น การรบกวนผิว เครื่องสำอางบางชนิด ความเครียด รวมทั้งการพักผ่อนไม่เพียงพอด้วยค่ะ แต่ไม่ต้องกังวลนะคะ เพราะสิวมักจะหายไปเองตามธรรมชาติเมื่อผ่านพ้นช่วงวัยรุ่นนี้ไป ถึงอย่างไรก็ตาม การรักษาและป้องกันการเกิดสิวนั้นยังคงเป็นเรื่องจำเป็นที่ไม่ควรละเลย ขอแนะนำว่าควรใช้ยาทาประเภทลดการอุดตันเป็นประจำด้วย เพื่อป้องกันการเกิดสิวใหม่ ซึ่งน่าจะดีกว่าการปล่อยให้เป็นสิว แต่หากปัญหาสิวเป็นมากขึ้นหรือมีการอักเสบ และปัญหาที่มักพบตามมาภายหลังเมื่อมีปัญหาสิว ก็คือ แผลเป็นหลุมหรือรอยดำ คงต้องเพิ่มการดูแลผิว เสริมการรักษา ทั้งนี้ การปรึกษาแพทย์เป็นสิ่งจำเป็นมากนะคะ และควรปกป้องผิวจากรังสี UV ด้วยการทาครีมกันแดดเสมอนะคะ เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวหน้าหมองคล้ำ แลดูไม่สดใส และปัญหาผิวอื่นๆ ที่อาจเกิดจากแสงแดดในระยะยาวเอาไว้ก่อนค่ะ

วัย 20 ปี

วัยนี้เป็นช่วงที่ผิวกำลังเปล่งปลั่งเต็มที่และสวยงามที่สุด เพราะปัญหาเรื่องสิวที่เป็นอุปสรรคในช่วงวัยรุ่นจะลดน้อยลง ยกเว้นเพียงบางคนที่มีผิวมันหรือมีฮอร์โมนเพศสูงก็ยังอาจทำให้มีสิวขึ้นมากวนใจอยู่เรื่อยๆ ส่วนผลิตภัณฑ์ที่เราเคยใช้ได้ดีตอนที่เป็นวัยรุ่นนั้น อาจจะไม่เหมาะสมกับวัยนี้แล้วก็เป็นได้ เพราะผิวจะไม่ค่อยมันมากนัก จึงไม่จำเป็นจะต้องใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ช่วยขจัดความมันบนใบหน้าอีกต่อไป ผิวหน้าอาจแลดูหมองคล้ำ ไม่มีชีวิตชีวา ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของ AHA เพื่อช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้ว ทำให้ผิวหน้าเรียบเนียน กระจ่างใสมากขึ้นค่ะ นอกจากนี้ ควรทาครีมบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอทั้งตอนเช้าและก่อนนอน และที่สำคัญ อย่าลืมปกป้องผิวจากแสงแดดด้วยการทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง เพราะแสงแดดเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาริ้วรอยก่อนวัยได้นะคะ

วัย 30 ปี

ผิวหน้าของช่วงวัยนี้ จะเริ่มมีปัญหาริ้วรอยรอบดวงตา โดยเฉพาะเวลาที่เรายิ้มจะเห็นริ้วรอยได้ชัดเจนขึ้น ผิวที่เคยเปล่งปลั่ง สดใส ก็จะดูแห้งกร้านขึ้น ความชุ่มชื้นบนใบหน้าก็ลดลง รวมถึงการผลัดเซลล์ผิวก็ช้าลง และสำหรับบางคนอาจเป็นฝ้า กระ มีปัญหารูขุมขนกว้าง ผิวไม่กระชับ และไม่เรียบเนียนเหมือนเมื่อก่อนค่ะ เพราะฉะนั้น ในวัยนี้จึงต้องการการดูแลผิวมากขึ้นค่ะ การใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์และครีมกันแดดก็เป็นสิ่งจำเป็นมากต้องใช้เป็นประจำทุกวัน ซึ่งควรเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวเป็นพิเศษ เนื่องจาก ผิวจะเริ่มแห้งมากขึ้น นอกจากนี้ สามารถเสริมด้วยการ Mask หน้า หรือทำ Treatment เพื่อช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวให้เร็วขึ้น และ Treatment เติมความชุ่มชื้นแก่ผิวให้ผิวหน้าเนียนนุ่ม สดใส และมีชีวิตชีวาขึ้น ส่วนปัญหาผิวรอบดวงตานั้น แนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์จำพวก Eye Gel หรือ Eye Cream ทาเป็นประจำก็จะช่วยลดริ้วรอย และทำให้ผิวรอบดวงตาชุ่มชื้น กระชับเต่งตึงขึ้นค่ะ

วัย 40 ปีขึ้นไป

เป็นวัยที่ผิวมีความยืดหยุ่นน้อยลง Elastin เริ่มเสื่อม ทำให้ความกระชับของผิวลดลง และขาดน้ำหล่อเลี้ยงมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะการสร้าง Collagen ลดลง ผิวแห้งกร้านและมีริ้วรอยมากขึ้นกว่าเดิม พบปัญหาร่องแก้ม หน้าผาก และรอยตีนกามาเยือน ดังนั้น ในวัยนี้ การบำรุงผิวเพื่อชะลอความเสื่อมของผิวจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นมากยิ่งขึ้น และต้องปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ เพราะความแข็งแรงของผิวลดลง นอกจากนี้ บางคนยังมีปัญหาฝ้า กระอีกด้วย เนื่องจาก ฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลงเพราะเริ่มเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ขอแนะนำให้ลองปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจดูสภาพผิวค่ะ เพราะอาจจะต้องได้รับการดูแลผิวอย่างเอาใจใส่เพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ เนื่องจาก ปัญหาของผิวที่เริ่มปรากฏมากขึ้นนั่นเอง โดยอาจมีการเสริมการรักษาด้วยวิธีต่างๆ เช่น การทำ Treatment ที่เข้มข้นมากขึ้น เพื่อช่วยเติมสารอาหารและเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ซึ่งสามารถลดการเกิดปัญหาริ้วรอยจากความแห้งได้ค่ะ , การทำ Treatment ประเภทยกกระชับ (Lifting) ที่ช่วยแก้ไขปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อย ทำให้ผิวกระชับ เต่งตึง หรือการทำ Laser เพื่อกระตุ้นการสร้าง Collagen ช่วยให้ผิวกระชับและลดริ้วรอยค่ะ ส่วนการดูแลบำรุงผิวพรรณก็ต้องเอาใจใส่ทั้งภายนอกและภายในด้วย นอกจากการใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ ครีมกันแดด และผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดเลือนริ้วรอยแล้ว การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเน้นอาหารประเภทผักสดและผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินสำหรับบำรุงผิวพรรณ และการดื่มน้ำให้เพียงพอ ก็ทำให้ผิวพรรณสดใส มีน้ำมีนวล หรืออาจรับประทานอาหารเสริมบำรุงผิว เพื่อฟื้นฟูสภาพผิวจากภายในค่ะ

การดูแลผิวหน้าไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิดกัน แค่คุณรู้จักวิธีการดูแลบำรุงผิวอย่างถูกต้องและใส่ใจอย่างสม่ำเสมอ เพียงแค่นี้คุณก็เป็นสาวที่มีผิวสดใส เปล่งปลั่ง เนียนนุ่ม แลดูอ่อนเยาว์แล้วค่ะ และหากคุณเริ่มดูแลผิวอย่างดีมาตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยยืดอายุผิวของเราให้คงความงามได้นานที่สุดนะคะ









ที่มา : http://www.panclinic.com




วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

สวยใส...ง่ายๆด้วยผักผลไม้

ผักผลไม้นอกจากอุดมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่ที่ช่วยให้สุขภาพแข็งแรงแล้ว ยังดูแลให้ผิวสวยผิวพรรณเปล่งปลั่งงดงาม และยังช่วยชะลอความชราอีกด้วย เช่น

1. มะนาว
อุดมไปด้วยวิตามินซี ซึ่งเป็นวิตามินหลักของร่างกายที่มีผลต่อสภาพผิว หากร่างกายขาดวิตามินซี ผิวของเราก็จะดูเหนื่อยล้าแห้งกร้าน หมองคล้ำ ไม่เปล่งปลั่ง

2. องุ่น
ช่วยเรื่องริ้วรอย ผิวหมองคล้ำ และกระชับผิว กระตุ้นความสดชื่นได้เร็ว เพราะน้ำตาลในองุ่นเป็นน้ำตาลธรรมชาติร่างกายสามารถนำไปใช้ได้เลย

3. แก้วมังกร
มีวิตามินซี คลอโรฟิล เมล็ดของแก้วมังกรอุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัว สามารถต่อต้านปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ช่วยบำรุงสุขภาพผิวพรรณให้สดชื่น

4. บัวบก
มีวิตามินบีสูง ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย บำรุงสมองและความจำ บำรุงผิวพรรณ ลดอาการอักเสบ

5. ผักโขม
ช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกาย ช่วยชะลอความแก่ ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่ผิว และช่วยบำรุงเลือดอีกด้วย

6. ลูกพรุน
เป็นแหล่งที่ดีของโปแตสเซียม เหล็กและไฟเบอร์ ที่สำคัญพรุนช่วยทำให้ผิวพรรณมีเลือดฝาด พรุนเป็นแหล่งธาตุเหล็กที่ดี

7. บรอคโคลี่
เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคุณสุภาพสตรีทั้งหลาย เพราะบรอคโคลี่เป็นแหล่งซีลีเนียมตามธรรมชาติซึ่งเจ้าตัว ซีลีเนียมนี้ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ(ซีลี-เนียมจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง จึงทำให้ผิวดูอ่อนวัยนุ่มนิ่ม มีน้ำมีนวลเหมือนหนุ่มสาว)แถมยังช่วยลบริ้วรอยเหี่ยวย่น

เห็นประโยชน์อย่างนี้แล้วอย่าลืมให้ความสำคัญกับการรับประทานผักและผลไม้ ในปริมาณที่เพียงพอ อาหารที่มีประโยชน์จะช่วยบำรุงดูแลผิวของเราได้ค่ะ

ที่มา : http://www.panclinic.com




วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ขับถ่ายทุกเช้าช่วยลดกลิ่นกายได้

ใครทราบบ้างว่า การขับถ่ายทุกเช้า สามารถลดกลิ่นกายได้ วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน...

กลิ่นกายเกิดจากการปรับฮอร์โมนเพศในร่างกาย
โดยเริ่มเปลี่ยนจากวัยเด็กสู่วัยรุ่น เช่นเดียวกับการมีประจำเดือนของเด็กผู้หญิง หรือเสียงแตกของเด็กผู้ชาย และการที่เด็ก ๆ มักไม่ค่อยได้กลิ่นตัวเอง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะว่าประสาทรับรู้กลิ่นนั้นอ่อนล้าง่าย ไม่ว่าจะหอมหรือเหม็น เมื่อดมนานเข้าก็จะไม่รับรู้กลิ่นเดิม กลิ่นตัวจึงมีลักษณะดมติดเป็นนิสัย คนอื่นรู้สึก แต่เจ้าตัวกลับไม่รู้สึก

ช่วงเวลาตี
5-7 โมงเช้า เป็นเวลาทำงานของลำไส้ใหญ่ ถ้าใครยังไม่ขับถ่าย ปล่อยปละจนเวลาเลยมาถึงช่วง 9 โมงเช้า ซึ่งเป็นเวลาของกระเพาะอาหาร แล้วไม่ยอมกินข้าวเช้าอีก ของเสียจากลำไส้ใหญ่ที่ไม่ขับถ่ายออกจะถูกบีบตัวผ่านลำไส้เล็กกลับมาถูกดูดซึมที่กระเพาะอาหารอีกครั้งหนึ่ง

ซึ่งอุจจาระเก่าจะมีแก๊สที่เสียแล้วเกิดจากการบูดเน่าโดยอุณหภูมิของร่างกายที่มีความร้อน
37 องศาตลอดเวลา เพราะฉะนั้นแก๊สพิษเหล่านี้จะถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด เลือดจึงไม่สะอาดผลที่ตามมาตั้งแต่ก่อนเที่ยงถึงบ่าย อาจรู้สึกง่วงนอนเพราะเลือดที่ไม่สะอาดเมื่อไหลไปเลี้ยงหัวใจก็จะทำให้อ่อนล้าไม่สดชื่น นอกจากนี้การที่เลือดไม่สะอาดไปเลี้ยงปอด ปอดก็จะขับของเสียออกทางผิวหนังและลมหายใจทำให้เกิดกลิ่นตัว กลิ่นปากโดยไม่รู้ตัว

การที่ไม่ค่อยขับถ่ายตอนเช้าหลายวัน บางครั้งอาจทำให้รู้สึกไม่สบายตัวและเกิดอาการท้องอืดได้ ที่น่ากลัว ใครที่ละเลยการขับถ่ายในช่วงเช้าเป็นเวลาหลาย ๆ ปี เมื่อแก่ตัวความจำก็จะเสื่อมเร็วกว่าปกติอีกด้วย

วิธีแก้ คือ ใครที่ไม่ค่อยถ่ายในช่วงเช้า ให้กินข้าวเช้าทุกวันระหว่างเวลา
07.00-09.00 น. แต่ถ้ากินข้าวเช้าแล้วยังไม่ค่อยขับถ่าย ก็ให้กินขมิ้นชันเป็นประจำเพื่อบริหารลำไส้ใหญ่ไปในตัว

รู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่าลืมขับถ่ายให้เป็นเวลา จะได้มีสุขภาพที่ดี.










ที่มา : http://www.panclinic.com


วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

โยเกริ์ต...กับฟัน

นักวิจัยมหาวิทยาลัยชาวอาทิตย์อุทัย แนะนำว่าให้กินนมเปรี้ยวและอาหาร ที่มีกรดน้ำนมไว้ประจำ จะช่วยรักษาอนามัยปาก ป้องกันไม่ให้เป็นรำมะนาด อันเป็นสาเหตุใหญ่ทำให้ฟันหลุดร่วง

ดร.โยชิโร ชิมาซากิ กับคณะร่วมกันศึกษาพบว่า การกินนมเปรี้ยวและกรดน้ำนม จะช่วยให้สุขภาพของปากดีเหนือกว่า ผิดกับการกินนมเนยที่ทำให้เกิดตรงกันข้าม

เขากล่าวในรายงานผลการศึกษาไว้ในวารสารทางวิชาการ ปริทันต์วิทยา ว่า ผู้ที่เป็นโรครำมะนาด จะทำให้เหงือกร่น และฟันหลุดร่วง นอกจากการหมั่นแปรงฟัน และรักษาความสะอาดซอกฟัน ก็ยังไม่มีวิธีอื่นใดที่จะทำให้โรคบรรเทาลงได้

อาจารย์โยชิโรกับคณะ ศึกษาด้วยการประเมินความรุนแรงของโรคในผู้ป่วยชายหญิง 942 ราย ที่มีอายุระหว่าง 40-79 ปี พบว่า
ผู้ที่เป็นมากเกือบทั่วปาก เป็นคนที่นิยมกินอาหารที่มีกรดน้ำนมน้อยกว่าผู้ที่เป็นน้อย.
















ที่มา : http://www.panclinic.com


วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2555

ผิวลาย หรือ รอยแตก

แค่ได้ยินคำว่า ผิวลาย หรือ รอยแตกลาย สาว ๆ หลายคนคงร้องยี้แล้วเบือนหน้าหนี ก็จะมีใครบ้างละคะ ที่อยากจะให้ริ้วรอยพวกนี้ปรากฏขึ้นบนเรือนร่างไม่ว่าจะเป็นบริเวณใด ๆ ก็ตาม แต่เคราะห์ร้ายของสาว ๆ มักอยู่ที่ว่า กว่าที่เราจะคิดถึงมัน เจ้าผิวแตกลายพวกนี้ก็มาปรากฎให้เห็นแล้ว เพราะฉะนั้น เรามาหาวิธีดูแลผิวพรรณเพื่อป้องกันอาการแตกลายนี้กันดีกว่าค่ะ แต่ว่าก่อนอื่น เราไปรู้จักกันก่อนดีกว่า ว่าอาการ "ผิวลาย" ที่ว่านี้ความจริงแล้วคืออะไร และเกิดมาจากสาเหตุใดกันค่ะ

"ผิวลาย" คืออะไร

ผิวลาย คือ อาการที่คอลลาเจนซึ่งคอยให้ความยืดหยุ่นแก่ผิวหนังถูกทำลาย จากการยืดขยายที่มากเกินไป เมื่อคอลลาเจนไม่สามารถรับแรงขยายนั้นได้ จึงเกิดริ้วรอยขึ้น อันเป็นที่มาของรอยแตกลายหรือผิวลายนั่นเอง

"ผิวลาย" เกิดจากสาเหตุใดบ้าง

สำหรับบุคคลที่มีโอกาสเกิดผิวลายได้ง่ายที่เรารู้กันดีก็คือหญิงมีครรภ์ เนื่องจากขนาดครรภ์ที่ขยายขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ผิวหนังที่หน้าท้องรองรับการขยายนั้นไม่ทันจึงเกิดริ้วรอยแตกลายขึ้นดังกล่าว นอกจากนี้กลุ่มเสี่ยงอีกกลุ่มก็คือคนที่มีรูปร่างตุ้ยนุ้ย อันเกิดจากเหตุผลประการเดียวกัน ส่วนคนที่น้ำหนักเพิ่มหรือลดอย่างกระทันหันก็อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่ออาการเกิดผิวแตกลายด้วย เนื่องจากผิวหนังมีการยืดหดเร็วเกินไปนั่นเอง นอกจากนี้คนที่ใช้ยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ติดต่อกันเป็นเวลานาน อย่างเช่น ใช้ยาทาไฮโดรคอติซอนนานติดต่อกันหลายสัปดาห์ หรือทานยาคอติโคสเตียรอยด์ติดต่อกันหลายเดือน ก็จะทำให้เกิดอาการผิวลายได้เช่นเดียวกันค่ะ

"ผิวลาย" มักเกิดขึ้นบริเวณไหน และมีลักษณะอย่างไร

บริเวณที่มักเกิดผิวลายได้ง่ายอยู่ที่ ทรวงอก, ต้นขา, สะโพก และบั้นท้าย ในขั้นแรกมักปรากฏให้เห็นเป็นริ้วจาง ๆ สีออกม่วงหรือแดง และจะลึกขึ้นจนมีลักษณะเป็นริ้วสีขาว เมื่อลูบดูจะรู้สึกขรุขระเป็นคลื่น

ป้องกันผิวจากการแตกลายได้อย่างไร

หัวใจสำคัญที่สุดของการป้องกันผิวแตกลาย ก็คือการดูแลรักษา และบำรุงผิวของเรานั่นเอง ถ้าอย่างนั้นไปดูกันดีกว่าค่ะ ว่าเราจะต้องดูแลผิวกันอย่างไรบ้าง

1. ทานอาหารที่มีสารที่เป็นประโยชน์ต่อผิว
แร่สังกะสี, วิตามินเอ, ซี, ดี และโปรตีน เป็นสารอาหารชั้นเลิศสำหรับการดูแลผิวของเรา นอกจากนี้กาารดื่มน้ำให้ได้วันละ 8-10 แก้ว ก็จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและสร้างความยืดหยุ่นให้กับผิว ซึ่งช่วยป้องกันอาการแตกลายได้ และหากเป็นไปได้ควรลดหรืองดเครื่องดื่มจำพวก ชา, กาแฟ และโซดาค่ะ

2. ขัดผิว
การขัดหรือสครับผิว เป็นการขัดเอาผิวหนังชั้นนอกที่ตายแล้วออก กระตุ้นให้เซลล์ผิวหนังใหม่ขึ้นมาทดแทน ทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น และผิวหนังรับความชุ่มชื้นได้ดีขึ้นอีกด้วย

3. บำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ ครีมบำรุงผิวหรือมอยเจอไรเซอร์เป็นตัวช่วยที่ดีอีกตัวในการป้องกันผิวจากริ้วรอยแตกลาย โดยเฉพาะในคุณแม่ที่กำลังมีน้อง การเติมความชุ่มชื้นให้ผิวอย่างเพียงพอจะเสริมความแข็งแรงให้กับคอลลาเจนอีลาสตินที่ผิวหนัง ทำให้เจ้าตัวคอลลาเจนรองรับแรงยืดขยายได้ ไม่เกิดอาการฉีกขาดซึ่งเป็นสาเหตุของผิวลาย ทั้งนี้ตรวจเช็คดูด้วยนะคะว่าครีมบำรุงผิวหรือโลชั่นที่คุณเลือก ใช้ มีส่วนประกอบอย่างวิตามินซี, วิตามินอี, โกโก้บัตเตอร์, น้ำมันจากนกอีมู, น้ำมันสกัดจากจมูกข้าวสาลี, น้ำมันสกัดจากเมล็ดอัลมอนด์ และขี้ผึ้งลาโนลินอันได้จากขนแกะหรือไม่ เพราะสารเหล่านี้ล้วนแต่ให้ความชุ่มชื้นกับผิวพรรณทั้งนั้นเลยค่ะ บำรุงผิวบริเวณที่เสี่ยงต่อการแตกลายวันละสองครั้ง จะช่วยป้องกันอาการผิวลายได้ค่ะ

รอยแตกลายนี้หากเกิดขึ้นแล้วจะไม่หายไป แม้ผิวหนังจะหดกลับเข้าสู่สภาพเดิมแล้วก็ตาม เพราะฉะนั้นวิธีที่ดีที่สุดที่จะไม่ให้เกิดผิวแตกลายที่บริเวณใด ๆ บนเรือนร่างคือการบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอย่างสม่ำเสมอค่ะ สาว ๆ คนไหนที่ไม่ค่อยจะทาครีมบำรุงผิว ก็อย่าลืมหันใส่ใจสักนิดนะคะ เพื่อจะได้มีผิวสวยอยู่กับเราไปนาน ๆ







ที่มา : http://www.panclinic.com


7 พฤติกรรมทำลายผมสวย

แม้ว่าผู้หญิงเราจะมีผลิตภัณฑ์บำรุงผมตั้งอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง ซะมากมาย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ายังมีสาว ๆ อีกหลายคนที่ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผม แต่ไม่ได้ทำให้ผมดีขึ้นแม้แต่น้อย ซึ่งก็มักจะโทษว่าผลิตภัณฑ์ไม่ดีกันทั้งนั้น แต่จริง ๆ แล้วอาจไม่ใช่อย่างนั้นเสมอไปหรอกค่ะ เพราะในชีวิตประจำวันมีปัจจัยหลาย ๆ อย่างที่ทำลายเส้นผมเยอะแยะมากมาย จนอาจจะไปทำลายเส้นผมไปพร้อม ๆ กับการใช้ผลิตภัณฑ์ไปโดยไม่รู้ตัว ว่าแต่ พฤติกรรมทำลายเส้นผมมันมีอะไรกันบ้างนะ เอ้า สาว ๆ ตามไปดูพร้อม ๆ กันเลยค่ะ

1. สูบบุหรี่ การสูบบุหรี่เป็นการทำลายผมโดยไม่รู้ตัว ทั้งผมร่วง ผมแห้ง อีกทั้งการสูบบุหรี่ยังทำให้กลิ่นบุหรี่ติดผมอีกด้วย

2. นอนหลับขณะผมเปียก การนอนโดยที่ผมยังเปียกหรือชื้นอยู่ จะทำให้หนังศีรษะเสี่ยงต่อการเกิดเชื้อราเอาได้ง่าย ๆ และยังส่งผลต่อผม ให้ผมแห้งและแตกปลายได้อีกด้วย

3. เกาศีรษะอย่างแรงขณะสระผม การสระผมควรใช้นิ้วนวดหนังศีรษะ และเลี่ยงการใช้เล็บขูดเกาหนังศีรษะ เพราะอาจจะทำให้ผมขาดร่วงได้ง่าย โดยเฉพาะขณะสระผมที่ผมอ่อนแอที่สุด ดังนั้นสาว ๆ ควรนวดกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดเพียงเบา ๆ เท่านั้น

4. ใช้ผลิตภัณฑ์หลายชิ้นจนเกินไป แม้ว่าแต่ละตัวจะระบุคุณสมบัติไว้มากมาย แต่อย่าลืมว่าการใช้สารเคมีหรือสารบำรุงผมมาก ๆ ก็อาจจะส่งผลร้ายต่อผมได้เหมือนกัน ทางที่ดีสาว ๆ ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์เกิน 4 ตัวนะคะ

5. ใช้ออยล์ที่มีความมันมาก ๆ สาว ๆ หลาย ๆ คนชอบที่จะให้ผมตัวเองมันเงาเป็นประกาย แต่การใช้ออยล์หรือผลิตภัณฑ์แบบลีฟออนที่มีความมันมาก ๆ จะทำให้ฝุ่นละอองเกาะติดเส้นผมได้ง่ายขึ้น และนั่นเป็นสาเหตุให้ผมแห้งเสียได้ง่ายด้วยค่ะ

6. รัดผมแน่นเกินไป โดยเฉพาะเวลานอน สาว ๆ หลายคนมักจะรัดผมตึงแน่นเพื่อไม่ให้สร้างความรำคาญขณะหลับ แต่การรัดผมตึงแน่นนั้นจะทำให้เส้นผมอ่อนแอ หลุดร่วงได้ง่ายขึ้นเยอะเลยทีเดียว

7. ใช้หวีซี่ถี่หวีผม หวีที่เหมาะกับทุกสภาพเส้นผมคือหวีซี่ห่าง เพราะมันจะไม่เสียดสีกับเส้นผมมากเกินไป จนอาจจะทำให้ผมพันกันได้ง่าย อีกทั้งยังทำให้ผมขาดได้ง่ายอีกด้วย

และนี่ก็คือ 7 พฤติกรรมประจำวันที่ทำลายเส้นผมของสาว ๆ โดยไม่รู้ตัว ที่ควรหลีกเลี่ยงเสียแต่บัดนี้ และนอกจากการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมข้างต้นนี้ สาว ๆ ก็ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และดื่มน้ำให้เยอะ ๆ ในแต่ละวันด้วยนะคะ เพื่อการบำรุงเส้นผมที่ให้ผลดียาวนานค่ะ


ที่มา : http://www.panclinic.com

Panclinic Club's Fan Box

Panclinic Club on Facebook