วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ปรนนิบัติผิวตามวัย

การดูแลผิวพรรณเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้หญิงทุกคน เพราะไม่ว่าผู้หญิงเราจะอยู่ในวัยไหนก็ตามย่อมต้องการให้ผิวพรรณคงความสวยเนียนใส เปล่งปลั่ง และแข็งแรงอยู่เสมอ ดังนั้น ผู้หญิงเราจึงใส่ใจและให้ความสำคัญกับการดูแลปรนนิบัติผิวเป็นพิเศษ แต่เราจะมีวิธีการดูแลผิวอย่างไรให้เหมาะกับสภาพผิวของตัวเอง เพราะนอกจากแต่ละคนจะมีลักษณะผิวที่ต่างกันแล้ว ผู้หญิงในแต่ละวัยก็ยังมีสภาพผิวที่ต่างกัน นั่นหมายถึงวิธีการดูแลผิวย่อมไม่เหมือนกันด้วย เราลองมาดูกันนะคะว่าคุณควรดูแลผิวอย่างไรให้เหมาะกับผิวในแต่ละวัย

วัย 15 - 20 ปี

เริ่มสู่วัยหนุ่มสาว สิวเป็นปัญหาผิวที่มาพร้อมกับวัยนี้เสมอ เพราะวัยรุ่นเป็นช่วงที่ฮอร์โมนเพศมีการเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ ยังมีตัวการอื่นๆ ที่กระตุ้นให้เกิดสิวอีกหลายอย่าง เช่น การรบกวนผิว เครื่องสำอางบางชนิด ความเครียด รวมทั้งการพักผ่อนไม่เพียงพอด้วยค่ะ แต่ไม่ต้องกังวลนะคะ เพราะสิวมักจะหายไปเองตามธรรมชาติเมื่อผ่านพ้นช่วงวัยรุ่นนี้ไป ถึงอย่างไรก็ตาม การรักษาและป้องกันการเกิดสิวนั้นยังคงเป็นเรื่องจำเป็นที่ไม่ควรละเลย ขอแนะนำว่าควรใช้ยาทาประเภทลดการอุดตันเป็นประจำด้วย เพื่อป้องกันการเกิดสิวใหม่ ซึ่งน่าจะดีกว่าการปล่อยให้เป็นสิว แต่หากปัญหาสิวเป็นมากขึ้นหรือมีการอักเสบ และปัญหาที่มักพบตามมาภายหลังเมื่อมีปัญหาสิว ก็คือ แผลเป็นหลุมหรือรอยดำ คงต้องเพิ่มการดูแลผิว เสริมการรักษา ทั้งนี้ การปรึกษาแพทย์เป็นสิ่งจำเป็นมากนะคะ และควรปกป้องผิวจากรังสี UV ด้วยการทาครีมกันแดดเสมอนะคะ เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวหน้าหมองคล้ำ แลดูไม่สดใส และปัญหาผิวอื่นๆ ที่อาจเกิดจากแสงแดดในระยะยาวเอาไว้ก่อนค่ะ

วัย 20 ปี

วัยนี้เป็นช่วงที่ผิวกำลังเปล่งปลั่งเต็มที่และสวยงามที่สุด เพราะปัญหาเรื่องสิวที่เป็นอุปสรรคในช่วงวัยรุ่นจะลดน้อยลง ยกเว้นเพียงบางคนที่มีผิวมันหรือมีฮอร์โมนเพศสูงก็ยังอาจทำให้มีสิวขึ้นมากวนใจอยู่เรื่อยๆ ส่วนผลิตภัณฑ์ที่เราเคยใช้ได้ดีตอนที่เป็นวัยรุ่นนั้น อาจจะไม่เหมาะสมกับวัยนี้แล้วก็เป็นได้ เพราะผิวจะไม่ค่อยมันมากนัก จึงไม่จำเป็นจะต้องใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ช่วยขจัดความมันบนใบหน้าอีกต่อไป ผิวหน้าอาจแลดูหมองคล้ำ ไม่มีชีวิตชีวา ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของ AHA เพื่อช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้ว ทำให้ผิวหน้าเรียบเนียน กระจ่างใสมากขึ้นค่ะ นอกจากนี้ ควรทาครีมบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอทั้งตอนเช้าและก่อนนอน และที่สำคัญ อย่าลืมปกป้องผิวจากแสงแดดด้วยการทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง เพราะแสงแดดเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาริ้วรอยก่อนวัยได้นะคะ

วัย 30 ปี

ผิวหน้าของช่วงวัยนี้ จะเริ่มมีปัญหาริ้วรอยรอบดวงตา โดยเฉพาะเวลาที่เรายิ้มจะเห็นริ้วรอยได้ชัดเจนขึ้น ผิวที่เคยเปล่งปลั่ง สดใส ก็จะดูแห้งกร้านขึ้น ความชุ่มชื้นบนใบหน้าก็ลดลง รวมถึงการผลัดเซลล์ผิวก็ช้าลง และสำหรับบางคนอาจเป็นฝ้า กระ มีปัญหารูขุมขนกว้าง ผิวไม่กระชับ และไม่เรียบเนียนเหมือนเมื่อก่อนค่ะ เพราะฉะนั้น ในวัยนี้จึงต้องการการดูแลผิวมากขึ้นค่ะ การใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์และครีมกันแดดก็เป็นสิ่งจำเป็นมากต้องใช้เป็นประจำทุกวัน ซึ่งควรเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวเป็นพิเศษ เนื่องจาก ผิวจะเริ่มแห้งมากขึ้น นอกจากนี้ สามารถเสริมด้วยการ Mask หน้า หรือทำ Treatment เพื่อช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวให้เร็วขึ้น และ Treatment เติมความชุ่มชื้นแก่ผิวให้ผิวหน้าเนียนนุ่ม สดใส และมีชีวิตชีวาขึ้น ส่วนปัญหาผิวรอบดวงตานั้น แนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์จำพวก Eye Gel หรือ Eye Cream ทาเป็นประจำก็จะช่วยลดริ้วรอย และทำให้ผิวรอบดวงตาชุ่มชื้น กระชับเต่งตึงขึ้นค่ะ

วัย 40 ปีขึ้นไป

เป็นวัยที่ผิวมีความยืดหยุ่นน้อยลง Elastin เริ่มเสื่อม ทำให้ความกระชับของผิวลดลง และขาดน้ำหล่อเลี้ยงมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะการสร้าง Collagen ลดลง ผิวแห้งกร้านและมีริ้วรอยมากขึ้นกว่าเดิม พบปัญหาร่องแก้ม หน้าผาก และรอยตีนกามาเยือน ดังนั้น ในวัยนี้ การบำรุงผิวเพื่อชะลอความเสื่อมของผิวจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นมากยิ่งขึ้น และต้องปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ เพราะความแข็งแรงของผิวลดลง นอกจากนี้ บางคนยังมีปัญหาฝ้า กระอีกด้วย เนื่องจาก ฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลงเพราะเริ่มเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ขอแนะนำให้ลองปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจดูสภาพผิวค่ะ เพราะอาจจะต้องได้รับการดูแลผิวอย่างเอาใจใส่เพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ เนื่องจาก ปัญหาของผิวที่เริ่มปรากฏมากขึ้นนั่นเอง โดยอาจมีการเสริมการรักษาด้วยวิธีต่างๆ เช่น การทำ Treatment ที่เข้มข้นมากขึ้น เพื่อช่วยเติมสารอาหารและเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ซึ่งสามารถลดการเกิดปัญหาริ้วรอยจากความแห้งได้ค่ะ , การทำ Treatment ประเภทยกกระชับ (Lifting) ที่ช่วยแก้ไขปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อย ทำให้ผิวกระชับ เต่งตึง หรือการทำ Laser เพื่อกระตุ้นการสร้าง Collagen ช่วยให้ผิวกระชับและลดริ้วรอยค่ะ ส่วนการดูแลบำรุงผิวพรรณก็ต้องเอาใจใส่ทั้งภายนอกและภายในด้วย นอกจากการใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ ครีมกันแดด และผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดเลือนริ้วรอยแล้ว การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเน้นอาหารประเภทผักสดและผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินสำหรับบำรุงผิวพรรณ และการดื่มน้ำให้เพียงพอ ก็ทำให้ผิวพรรณสดใส มีน้ำมีนวล หรืออาจรับประทานอาหารเสริมบำรุงผิว เพื่อฟื้นฟูสภาพผิวจากภายในค่ะ

การดูแลผิวหน้าไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิดกัน แค่คุณรู้จักวิธีการดูแลบำรุงผิวอย่างถูกต้องและใส่ใจอย่างสม่ำเสมอ เพียงแค่นี้คุณก็เป็นสาวที่มีผิวสดใส เปล่งปลั่ง เนียนนุ่ม แลดูอ่อนเยาว์แล้วค่ะ และหากคุณเริ่มดูแลผิวอย่างดีมาตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยยืดอายุผิวของเราให้คงความงามได้นานที่สุดนะคะ









ที่มา : http://www.panclinic.com




วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

สวยใส...ง่ายๆด้วยผักผลไม้

ผักผลไม้นอกจากอุดมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่ที่ช่วยให้สุขภาพแข็งแรงแล้ว ยังดูแลให้ผิวสวยผิวพรรณเปล่งปลั่งงดงาม และยังช่วยชะลอความชราอีกด้วย เช่น

1. มะนาว
อุดมไปด้วยวิตามินซี ซึ่งเป็นวิตามินหลักของร่างกายที่มีผลต่อสภาพผิว หากร่างกายขาดวิตามินซี ผิวของเราก็จะดูเหนื่อยล้าแห้งกร้าน หมองคล้ำ ไม่เปล่งปลั่ง

2. องุ่น
ช่วยเรื่องริ้วรอย ผิวหมองคล้ำ และกระชับผิว กระตุ้นความสดชื่นได้เร็ว เพราะน้ำตาลในองุ่นเป็นน้ำตาลธรรมชาติร่างกายสามารถนำไปใช้ได้เลย

3. แก้วมังกร
มีวิตามินซี คลอโรฟิล เมล็ดของแก้วมังกรอุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัว สามารถต่อต้านปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ช่วยบำรุงสุขภาพผิวพรรณให้สดชื่น

4. บัวบก
มีวิตามินบีสูง ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย บำรุงสมองและความจำ บำรุงผิวพรรณ ลดอาการอักเสบ

5. ผักโขม
ช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกาย ช่วยชะลอความแก่ ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่ผิว และช่วยบำรุงเลือดอีกด้วย

6. ลูกพรุน
เป็นแหล่งที่ดีของโปแตสเซียม เหล็กและไฟเบอร์ ที่สำคัญพรุนช่วยทำให้ผิวพรรณมีเลือดฝาด พรุนเป็นแหล่งธาตุเหล็กที่ดี

7. บรอคโคลี่
เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคุณสุภาพสตรีทั้งหลาย เพราะบรอคโคลี่เป็นแหล่งซีลีเนียมตามธรรมชาติซึ่งเจ้าตัว ซีลีเนียมนี้ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ(ซีลี-เนียมจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง จึงทำให้ผิวดูอ่อนวัยนุ่มนิ่ม มีน้ำมีนวลเหมือนหนุ่มสาว)แถมยังช่วยลบริ้วรอยเหี่ยวย่น

เห็นประโยชน์อย่างนี้แล้วอย่าลืมให้ความสำคัญกับการรับประทานผักและผลไม้ ในปริมาณที่เพียงพอ อาหารที่มีประโยชน์จะช่วยบำรุงดูแลผิวของเราได้ค่ะ

ที่มา : http://www.panclinic.com




วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ขับถ่ายทุกเช้าช่วยลดกลิ่นกายได้

ใครทราบบ้างว่า การขับถ่ายทุกเช้า สามารถลดกลิ่นกายได้ วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน...

กลิ่นกายเกิดจากการปรับฮอร์โมนเพศในร่างกาย
โดยเริ่มเปลี่ยนจากวัยเด็กสู่วัยรุ่น เช่นเดียวกับการมีประจำเดือนของเด็กผู้หญิง หรือเสียงแตกของเด็กผู้ชาย และการที่เด็ก ๆ มักไม่ค่อยได้กลิ่นตัวเอง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะว่าประสาทรับรู้กลิ่นนั้นอ่อนล้าง่าย ไม่ว่าจะหอมหรือเหม็น เมื่อดมนานเข้าก็จะไม่รับรู้กลิ่นเดิม กลิ่นตัวจึงมีลักษณะดมติดเป็นนิสัย คนอื่นรู้สึก แต่เจ้าตัวกลับไม่รู้สึก

ช่วงเวลาตี
5-7 โมงเช้า เป็นเวลาทำงานของลำไส้ใหญ่ ถ้าใครยังไม่ขับถ่าย ปล่อยปละจนเวลาเลยมาถึงช่วง 9 โมงเช้า ซึ่งเป็นเวลาของกระเพาะอาหาร แล้วไม่ยอมกินข้าวเช้าอีก ของเสียจากลำไส้ใหญ่ที่ไม่ขับถ่ายออกจะถูกบีบตัวผ่านลำไส้เล็กกลับมาถูกดูดซึมที่กระเพาะอาหารอีกครั้งหนึ่ง

ซึ่งอุจจาระเก่าจะมีแก๊สที่เสียแล้วเกิดจากการบูดเน่าโดยอุณหภูมิของร่างกายที่มีความร้อน
37 องศาตลอดเวลา เพราะฉะนั้นแก๊สพิษเหล่านี้จะถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด เลือดจึงไม่สะอาดผลที่ตามมาตั้งแต่ก่อนเที่ยงถึงบ่าย อาจรู้สึกง่วงนอนเพราะเลือดที่ไม่สะอาดเมื่อไหลไปเลี้ยงหัวใจก็จะทำให้อ่อนล้าไม่สดชื่น นอกจากนี้การที่เลือดไม่สะอาดไปเลี้ยงปอด ปอดก็จะขับของเสียออกทางผิวหนังและลมหายใจทำให้เกิดกลิ่นตัว กลิ่นปากโดยไม่รู้ตัว

การที่ไม่ค่อยขับถ่ายตอนเช้าหลายวัน บางครั้งอาจทำให้รู้สึกไม่สบายตัวและเกิดอาการท้องอืดได้ ที่น่ากลัว ใครที่ละเลยการขับถ่ายในช่วงเช้าเป็นเวลาหลาย ๆ ปี เมื่อแก่ตัวความจำก็จะเสื่อมเร็วกว่าปกติอีกด้วย

วิธีแก้ คือ ใครที่ไม่ค่อยถ่ายในช่วงเช้า ให้กินข้าวเช้าทุกวันระหว่างเวลา
07.00-09.00 น. แต่ถ้ากินข้าวเช้าแล้วยังไม่ค่อยขับถ่าย ก็ให้กินขมิ้นชันเป็นประจำเพื่อบริหารลำไส้ใหญ่ไปในตัว

รู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่าลืมขับถ่ายให้เป็นเวลา จะได้มีสุขภาพที่ดี.










ที่มา : http://www.panclinic.com


วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

โยเกริ์ต...กับฟัน

นักวิจัยมหาวิทยาลัยชาวอาทิตย์อุทัย แนะนำว่าให้กินนมเปรี้ยวและอาหาร ที่มีกรดน้ำนมไว้ประจำ จะช่วยรักษาอนามัยปาก ป้องกันไม่ให้เป็นรำมะนาด อันเป็นสาเหตุใหญ่ทำให้ฟันหลุดร่วง

ดร.โยชิโร ชิมาซากิ กับคณะร่วมกันศึกษาพบว่า การกินนมเปรี้ยวและกรดน้ำนม จะช่วยให้สุขภาพของปากดีเหนือกว่า ผิดกับการกินนมเนยที่ทำให้เกิดตรงกันข้าม

เขากล่าวในรายงานผลการศึกษาไว้ในวารสารทางวิชาการ ปริทันต์วิทยา ว่า ผู้ที่เป็นโรครำมะนาด จะทำให้เหงือกร่น และฟันหลุดร่วง นอกจากการหมั่นแปรงฟัน และรักษาความสะอาดซอกฟัน ก็ยังไม่มีวิธีอื่นใดที่จะทำให้โรคบรรเทาลงได้

อาจารย์โยชิโรกับคณะ ศึกษาด้วยการประเมินความรุนแรงของโรคในผู้ป่วยชายหญิง 942 ราย ที่มีอายุระหว่าง 40-79 ปี พบว่า
ผู้ที่เป็นมากเกือบทั่วปาก เป็นคนที่นิยมกินอาหารที่มีกรดน้ำนมน้อยกว่าผู้ที่เป็นน้อย.
















ที่มา : http://www.panclinic.com


Panclinic Club's Fan Box

Panclinic Club on Facebook